วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552

วิธีสร้าง Blog แบบง่ายๆ

1. ไปที่ https://www.blogger.com/start สร้างบล็อกของคุณทันที

(คุณต้องมีบัญชีผู้ใช้ Google ก่อนนะค่ะ ถ้ามีแล้วก็ลงชื่อเข้าใช้ได้เลยคะ)









2. ทำตามขั้นตอน 1. สร้างบัญชีGoogle









กรอกข้อมูลต่างๆให้ครบ แล้วคลิกที่ ดำเนินการต่อ

3. ทำตาม ขั้นตอนที่ 2 คือ



1. ตั้งชื่อเว็บบล็อกของคุณ







พิมพ์ ชื่อเว็บบล็อก, ที่อยู่บล็อก (URL) และรหัสยืนยันที่ปรากฏอยู่ เสร็จแล้ว คลิกที่ "ดำเนินการต่อ"




2. เลือกแม่แบบให้กับบล็อกของคุณ





คลิกที่ ดำเนินการต่อ


4. แล้วคลิกที่ เริ่มต้นการเขียนบล็อก




ง่ายไหมค่ะ แค่นี้คุณก็มีบล็อกเป็นของคุณเองแล้วนะค่ะ

งานที่2

URL 1.1 เว็บไซต์ที่บอกเวลาทั่วโลก http://www.ieostudyabroad.com/work-travel-program/work-travel-worldtimezone.html
1.2 แผนที่ สถานที่ท่องเที่ยว http://maps.google.com/maps?f=q&source=s_q&hl=en&geocode=&q=%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1&sll=37.0625,-95.677068&sspn=21.180361,35.859375&ie=UTF8&ll=41.932422,12.471714&spn=0.019347,0.035019&t=h&z=14&iwloc=poi0
1.3 เว็บไซต์ที่บอกอุณหภูมิทั่วโลก http://thai.wunderground.com/

งานที่1

ส่ง E-mail
เรื่องประวัติส่วนตัว
วันที่ 23 มี.ค. 2552

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

10 วิธีเพื่อ หุ่นดี หุ่นสวย

1. หากว่าการลดน้ำหนัก มันสำคัญสำหรับคุณมาก คุณก็จะสามารถเขียนมันออกมาได้ ถ้าคุณยังยังไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม แสดงว่ามันยังไม่สำคัญกับคุณมากพอ คุณก็แค่จะลดไปงั้นแหละ ก็เผื่อว่าชั้นจะผอม ขอให้เขียนแบบจริงๆจังๆ และบอกถึงเป้าหมายให้ชัดเจน ไม่เอาแบบ "ข้อที่หนึ่ง ชั้นไม่อยากตัวอ้วนเป็นหมูแบบนี้" นี่เป็นการบอกสิ่งที่คุณไม่ต้องการ ลองเอาแบบ "ข้อที่หนี่ง ชั้นอยากมีหุ่นเลิศ เฉิดฉายในชุดสีดำ ตอนวันคริสมาสในปีนี้" อย่างงี้

2. เชื่อมั่นในตนเอง เชื่อในสิ่งที่คุณจะทำ บ่อยแค่ไหนที่มัวแตชม คนอื่นที่เค้าลดน้ำหนักแล้วสำเร็จ มัวแต่ไปชื่นชมคนอื่น หรือความสำเร็จของเขา ให้คิดทันทีว่า "ชั้นอยากจะทำอย่างนั้นได้บ้างจัง เมื่อเค้าทำได้ชั้นก็ต้องทำได้สิ" เราก็คนอ่ะนะ ก็ต้องคิดแบบนี้กันมั่ง อย่ามัวแต่ไปอิจฉาคนอื่น มัวจำกัดความสามารถของตัวเองล่ะ รู้มั้ยว่า เรื่องง่ายๆแบบนี้ใครๆก็ทำได้ คุณก็ทำได้ ถ้ามีความตั้งใจและมีเป้าหมายที่แน่นอน

3. สังเกตตัวเอง ดูซิว่าอะไรที่ทำให้คุณกินแบบหยุดไม่อยู่ ถ้าเป็นสถานที่ เวลา อารมณ์ หรือคนที่อยู่ด้วยแล้วล่ะก็ ดูสิว่า มันเป็นที่ทำงาน ที่บ้าน ในวันหยุด ตอนกลางคืน ตอนอยู่กับใครหรืออยู่เหงาอยู่คนเดียว คิดแล้วก็ถามตัวเอง เพราะคำตอบก็อยู่ในคำถามนั่นแหล่ะ พอพบคำตอบแล้วก็อย่าลืมพยายามหลีกเลี่ยงมันซะ ก็พยายามยับยั้งชั่งใจ อย่าปล่อยปากไปกับสถานะการ พอถึงเวลาที่จะต้องอยู่ในสถานะการเหล่านั้น ให้ท่องเหตุผล 3 ข้อ (ที่ให้คุณเขียนไปแล้วตั้งแต่ข้อที่ 1) มาดังๆในใจ อาจจะช่วยลดอาการตามใจปากของคุณได้

4. ค่อยๆ เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน คุณมีเวลาเกือบปีในการลดน้ำหนัก อย่าคิดว่า "โอ้ยเหลือเวลาตั้งมาก" แบบนี้ไม่เอา ถ้าให้คุณเลือกลดน้ำหนักภายใน 3 เดือนโดยการอดอาหารแบบทรมาณมากจนในที่สุดก็ต้องล้มเลิก หรือค่อยๆลดค่อยๆเป็นไปเอาสัก ให้ลดลงเดือนละ 1กิโล โดยการค่อยๆปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร แบบจริงๆจังๆ อันนี้จะทำให้เห็นผลดีที่สุด...ขอบอก ค่อยๆเปลี่ยนของในตู้เย็นเป็นของแบบ low fat แล้วผักผลไม้เข้าไปเยอะๆ ด้วย พวกขนมจุกจิกเนี่ยะ โละออกให้หมด หาอาหารเพื่อสุขภาพเข้ามาเพิ่มทุกๆ วัน จำไว้ว่า เรากินอะไรไปก็ได้อย่างนั้นแหละ

5. ลดปริมาณอาหารลง คุณต้องพยายามควบคุมปริมาณอาหารที่กินให้ได้นั่นเอง จริงๆแล้ว ที่น้ำหนักคุณมากอย่างเงี้ย ก็เพราะกินมากนั่นแหล่ะ อย่างบางที คิดว่ากินสลัดไม่อ้วนหรอก แต่ก็กินซะจานมโหระทึกเลย จะลดลงได้งั้ย เวลารับประทานขอให้ดูที่ปริมาณด้วย ลดมันลงมั่ง ลองใช้จานที่เล็กลงหน่อย ชั่งน้ำหนักอาหารก่อนกินถ้าทำได้ จะได้รู้น้ำหนักที่อาหารที่เรากินเป็นประจำ และรู้ว่าเรากินไปขนาดไหนแล้ว

6. กินน้ำอย่างน้อย 1 ลิตรต่อวัน น้ำไม่ได้ทำให้คุณอิ่มหรอกนะ แต่มันช่วยให้ตับไตคุณทำงานดีขึ้นต่างหาก แล้วยังบำรุงผิวอีก การเสียน้ำทำให้คุณไม่สดชื่น การเผาผลาญแคลอรี่ต่ำลง สมาธิกับความจำ ก็จะสั้นลงด้วย เอ้า..ลุกไปกินน้ำซะหน่อย

7. ทานมื้อเช้าทุกวัน การอดข้าวเช้า ร่างกายจะส่งสัญญาณว่า คุณรู้สึกหิวแทบบ้า เพราะไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องมาหลายชั่วโมงแล้ว เมื่อรับประทานมื้อกลางวัน ก็จะทำให้คุณรับประทานเข้าไปมากเกินมื้อปกติ การอดอาหารมื้อเช้า จะทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายเราจะทำงานช้าลงด้วย ทำให้เป็นคนอ้วนง่าย

8. ออกกำลังกายให้ติดเป็นนิสัย ถ้าคุณทำให้เหมือนกับที่คุณติดละครทีวีสักเรื่องนึงได้ดีมาก เพราะมันเป็นอาวุธชั้นยอด ที่จะทำให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม และยังไม่กลับมาอ้วนอีกด้วย ไม่มีอะไรดีกว่านี้ไปอีกแล้ว ค่อยๆ เริ่มทีละท่าสองท่า แล้วค่อยๆ เพิ่ม อาจเริ่มจากเดินนิดหน่อย หรือจะเริ่งจากเล่นกีฬาที่คุณชอบก่อนก็ได้ (ห้ามเป็นกีฬาในร่มอย่างไพ่เด็ดขาด )

9. บำรุงกล้ามเนื้อบ้าง ควรการออกกำลังกายแบบเน้นการใช้กล้ามเนื้อ สัก 2-3 วันต่ออาทิตย์ ทำให้กล้ามเนื้อมีกำลังเพิ่มขึ้น รู้มั้ยว่า จะทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ ได้มากขึ้นตลอดทั้งวัน แม้แต่ตอนนอน ก็ช่วยในการเผาผลาญแคลอรี่เราเพิ่มด้วยนะ

10. อย่าเอาแต่สบาย พยายามทำอะไรที่ต้องใช้กำลังทำบ้าง ไม่ได้บอกให้คุณไปตบตีกับใครนะคะ หมายความว่า ลองจอดรถไกลๆดูบ้าง ลองขึ้นบันไดแทนลิฟต์ เช็ดประตูหน้าต่างรอบบ้าน ทำงานบ้านเองแทนที่จะให้คนใช้ทำ หาอะไรที่มันทำยากขึ้น ต้องใช้ความพยายามมากกว่าสิ่งที่ทำๆอยู่ทุกวัน

ถึงตรงนี้คุณคงจะเห็นหุ่นดีๆ ของตัวเอง ลอยมาลางๆแล้วใช่มั้ย วิธีที่แนะนำมานี่ รับรองไม่ยากและดีสำหรับร่างกายแน่ เอาหล่ะ พร้อมรึยังที่จะมีหุ่นสวยๆ ไว้เดินอวดให้คนอื่นๆ ได้อิจฉามั่ง มาแข่งกันมั้ย ว่าใครจะทำได้ก่อนกัน แต่เราน่ะ ทำข้อหนี่งเสร็จแล้วนะ

ที่มา http://leelacheewit.com/www/boardbeauty.asp?id=998

ขั้นตอนการทำความสะอาดใบหน้า

สิ่งสำคัญที่สุดของใบหน้าคุณ
คือการมีใบหน้าที่สดใส ปราศจากความมันบนใบหน้า เต่งตึง อิ่มเอิบไม่หยาบหรือแห้งกร้าน เคล็ดลับในการทำความสะอาดผิวหน้า ลองเสียเวลาสัก 15 นาทีในตอนเช้าและเย็น

tips1 ใช้นมสด ที่ไม่ได้ผ่านความร้อน แตะบนสำลี หมุนวนบนใบหน้า คอ แก้ม 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น

tips2 แตงกวาฝาน นำมาเช็ดวนเป็นวงกลมเบาๆบนใบหน้า 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น

tips3 ฝานมะเขือเทศครึ่งลูก นำมาวนๆบนใบหน้า คอ 15 นาที และล้างออกด้วยน้ำเย็น

tips4 มะนาวฝาน นำมาคลึงๆ ค่อนข้างแรง บนหน้า หรือคอ แต่แนะนำให้ทำ 3-4 วันครั้ง ภายหลังจากที่ล้างหน้าด้วยนม หรือผลเหล่านี้แล้ว ให้ใช้ oat bran หรือ besan ผสมน้ำเปียกๆ แล้วล้างพร้อมถูเบาๆ เพื่อขจัดเซลที่ตายออก ห้ามใช้สบู่ ใช้แต่น้ำเย็นที่สะอาด

tips5 ใช้แป้งข้าวเจ้า ทำความสะอาด ถ้าหน้ามัน ใช้มะนาวช่วย

tips6 ใช้ buttermilk นวดคลึงบริเวณใบหน้า แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

tips7 ใช้ก้อนน้ำแข็งธรรมดา คลึงและล้างใบหน้า

tips8 วางแอปเปิลฝานบางๆ บนใบหน้าคุณ ทิ้งไว้ 15 นาที เพื่อทำให้หน้าเต่งตึงกระชับ แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นธรรมดา

กลเม็ด... เทคแคร์เส้นผม

1.แปรงผม ก่อนสระผมทุกครั้ง แปรงผมเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนเส้นผม และสางเส้นผมที่พันกันออกก่อน

2.สระผม ควรใช้แชมพูและครีมนวดที่ผสมอาหารชีวภาพ เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและบำรุงเส้นผมไปด้วยในตัว เพราะสารอาหารชีวภาพจะถูกดูดซึมแล้วเข้าถึงรากและตลอดเส้นผม

3.นวดศีรษะ นวดหนังศีรษะขณะอาบน้ำใต้ฝักบัว เพื่อกระตุ้นระบบหมุนเวียน ช่วยให้มีสุขภาพผมที่ดีขึ้น และช่วยลดความเครียด ใช้ปลายนิ้วนวดหนังศีรษะเบา ๆ โดยเริ่มจากด้านหน้าแล้วนวดลงไปถึงต้นคอ

4.เพิ่มความชุ่มชื้น ชโลมคอนดิชันเนอร์เฉพาะตรงปลายผม และส่วนที่เลยปลายผมขึ้นมาครึ่งหนึ่งของความยาว (เพราะเส้นผมส่วนที่อยู่ใกล้หนังศีรษะ น่าจะมีน้ำมันที่ให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติอยู่แล้ว) การทาคอนดิชั่นเนอร์ใกล้ ๆ รากผมจะทำให้ให้รู้สึกว่าเส้นผมเป็นมันเยิ้มหลังจากสระผมไม่นาน

5.เพิ่มความเงางาม เพิ่มความเงางามและขจัดเส้นผมพันกัน ด้วยการใช้น้ำส้มสายชูหนึ่งช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่น 600 มิลลิลิตร แล้วราดลงบนเส้นผม ใช้หวีสางให้ทั่วแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

6.ล้างด้วยน้ำเย็น น้ำร้อนทำให้ต่อมรากผมขยายและสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติไป ทำให้ผิวผมแห้งหยาบดูไม่มีชีวิตชีวา ใช้น้ำเย็นล้างผมจะดีกว่า ความเย็นของน้ำจะช่วยให้ต่อมรากผมปิดตัว เส้นผมจะเงางามทั่วศีรษะ

7.ซับเบา ๆ อย่าใช้ผ้าขนหนูเช็ดผม เพราะผ้าขนหนูจะขโมยความชุ่มชื้น และทำลายความยืดหยุ่นของเส้นผม ให้ใช้ปลายนิ้วบีบน้ำบนเส้นผมออก แล้วใช้ผ้าขนหนูซับเบา ๆ วิธีนี้จะช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นบนเส้นผมไว้ได้

8.สางผม อย่าแปรงผมในขณะที่ผมเปียกเด็ดขาด เพราะขณะที่เปียก เส้นผมจะพองใหญ่กว่าปกติสองเท่า และจะทำให้ผมเสียได้ง่าย ใช้หวีซี่ห่าง ๆ สางผมเปียกที่แบ่งเป็นส่วน ๆ โดยเริ่มสางจากปลายผม

9.ปล่อยให้แห้ง ปล่อยให้เส้นผมแห้งตามธรรมชาติ เพราะเครื่องมือแต่งผมที่ใช้ความร้อนจะทำให้แกนผมเสีย บิดผมยาว ๆ ขึ้นไปรวบเป็นมวย เส้นผมจะเซ็ตตัวได้เองเมื่อแห้งแล้ว ถ้าผมสั้นก็ทาเจลแล้วหวีให้ทั่ว

10.กำราบผมตั้งชี้ เมื่อผมแห้งแล้ว ฉีดสเปรย์ลงบนหวีแล้วหวีผมให้ทั่ว วิธีนี้จะทำให้ปลายผมที่ตั้งชี้ลู่ลงไป ทำให้เส้นผมดูเงางาม เป็นระเบียบ และช่วยให้เส้นผมอยู่ทรงได้นานขึ้น

ที่มา
http://leelacheewit.com/www/boardbeauty.asp?id=1070

ผิวไหม้จากแดด


ผิวไหม้จากแดดเป็นการอักเสบของผิวหนังเนื่องจากถูกแสงแดด แสงแดดมีรังสีสำคัญสองชนิดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ามีผลเสียต่อผิวหนังคือรังสี UVB UVA หากได้รับรังสีเข้าไปมากๆก็จะทำให้เกิดผิวสี TAN ผิวไหม้จากแดด มะเร็งผิวหนัง คนที่เคยเป็นผิวไหม้จากแดดจะมีโอกาสเกิดเป็นมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้น 2 เท่า
การที่ผิวถูกแสงแดดเป็นประจำจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็น
มะเร็งผิวหนัง ตกกระ ฝ้า ผิวลอกรวมทั้งต้อกระจก
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันคือการหลีกเลี่ยงจากแสงแดด เช่นไม่ออกแสงแดดช่วงที่มีรังสีมากคือเวลา 10-15 น. ใส่เสื้อหลวมๆและเนื้อเสื้อแน่น ใส่หมวก ใส่แว่นกันแดด ทาครีมกันแดด


อาการของผิวไหม้จากแดด
อาการเบื้องต้นสำหรับผิวไหม้คือ ผิวจะร้อน แดงและเจ็บ การสัมผัสผิวหนังบริเวณดังกล่าวจะทำให้เกิดอาการเจ็บ อาจจะมีการสูญเสียสารน้ำและทำให้ขาดน้ำ หลังจากนั้นผิวจะพองและตกสะเก็ด


ผิวจะแดงและร้อน
บวมและคัน
รายที่เป็นมากผิวหนังจะพอง


หากมีอาการเหล่านี้ให้ปรึกษาแพทย์
มีไข้หนาวสั่น คลื่นไส้
ผิวหนังพองเป็นบริเวณกว้าง
ผิวไหม้ลุกลามหลังจากเจอแดด 24 ชั่วโมง
ผื่นเปลี่ยนเป็นสีม่วง
มีอาการช้อค


การดูแลตัวเอง

รับประทานยาแก้ปวดเช่น paracetamol aspirin brufen เพื่อลดอาการปวดและอาการบวม
ให้ดื่มน้ำมากๆ ควรหลีกเลี่ยงน้ำเย็นเพราะจะกระตุ้นให้เกิดอาการหนาวสั่น
ใช้ steroid ครีมทาบริเวณผิวหนัง
ประคบน้ำโดยใช้น้ำเย็นหรือน้ำธรรมดาประคบวันละหลายครั้งเพื่อลดความร้อน
หลีกเลี่ยงสบู่เพราะจะทำให้ระคายเคืองผิวหนัง หลังจากล้างเสร็จไม่ต้องซับเพราะจะทำให้ผิวลอก
ให้ทาครีม moisturizer หรือว่านหางจระเข้ทาหลังอาบน้ำ
อย่าแกะผื่น
ทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน
หลีกเลี่ยงแสงแดด


โรคที่แพ้แสง
โรคเหล่านี้เมื่อถูกแสงแดดจะทำให้เกิดผื่นหรือผิวไหม้จากแสงแดดได้ง่าย
พวกคนเผือก Albinism เนื่องจากเซลล์ผิวหนังของคนพวกนี้จะไม่มีเซลล์ melanin ไว้ป้องกันแสงแดด
โรค SLE
Porphyrias
โรคด่างขาว


ที่มา
http://lifestyle.kingsolder.com/health/beauty.asp?id=435&no=1

ครีมเพื่อหน้าขาว


หากท่านดูทีวีจะพบว่ามีการโฆษณาสรรพคุณของครีมเพื่อทำให้หน้าขาว ผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ออกมาอย่างมากมาย จนกระทั่งครีมเพื่อให้รักแรสีขาวขึ้น ก่อนที่ท่านจะใช้ครีมท่านต้องพิจารณาผิวพรรณท่านก่อน หากท่านผิวดำหรือผิวคล้ำไม่แนะนำให้ใช้ครีมลอกหน้าขาวเพราะนอกจากจะไม่ได้ผลแล้วยังอาจจะเกิดผลเสีย

ส่วนประกอบสำคัญของครีมเพื่อหน้าขาวมีดังนี้

1. กรดผลไม้หรือ Alpha Hydroxy Acid [ AHA ] กรดผลไม้นี้จะช่วยให้เซลล์ชั้นผิวสุดหรือเซลล์ที่ตายแล้วหลุดออกไป และมีเซลล์ใหม่งอกขึ้นมา ทำให้ผิวหนังสดใส หากใช้กรดผลไม้ขนาดต่ำอย่างต่อเนื่องจะทำให้ฝ้า กระและรอยด่างดำจางลง

การเลือกซื้อเครื่องสำอางที่มีกรดผลไม้

ในการเลือกซื้อเครื่องสำอางที่มีกรดผลไม้ผสมอยู่ท่านจะต้องเลือกกรดที่มีค่า pH ประมาณ 3-5 หากค่าต่ำกว่านี้จะเป็นกรดมากจะทำให้มีการระคายเคืองต่อผิวหนังมาก แต่หากค่า pH สูงกว่า 5 จะเป็นด่างทำให้ผิวหนังไม่ลอก นอกจากนั้นความเข้มข้นของกรดผลไม้ควรจะไม่เกิน 4 % หากต่ำกว่านี้ผิวจะไม่ลอก หากค่าความเข้มข้นอยู่ระหว่า 8-15% ไม่เหมาะสำหรับการใช้ประจำวันเพราะจะระคายเคืองมาก ความเข้มข้น ตั้งแต่20%ขึ้นไปเหมาะสำหรับการลอกหน้าข้อควรพิจารณาในการเลือกใช้เครื่องสำอางที่มีกรดผลไม้ผสม

-เมื่อจะเริ่มใช้เครื่องสำอางชนิดใหม่ให้เลือกขนาดเล็กที่สุดเพื่อดูการตอบสนองของผิวหนัง
-เครื่องสำอางที่มีกรดผลไม้ผสมไม่ควรจะมีแอลกอฮอล์ผสมเพราะจะทำให้ระคายเคืองมาก
-ในการลองใช้เครื่องสำอางใดๆไม่ควรใช้ที่ใบหน้า แต่ควรจะใช้กับด้านในของท้องแขนเพื่อทดสอบการตอบสนองของผิวหนัง
-ไม่ควรใช้สบู่ที่มีเม็ดทรายเพราะจะระคายเคืองต่อใบหน้า
-ไม่ควรใช้ผ้า หรือวัสดุอื่นใดถูกหน้า ให้ใช้ผ้าซับก็พอ
-หากท่าผิวแห้งแนะนำให้ใช้ครีม
-หากผิวมันให้ใช้โลชั่น หรือเยล


ขั้นตอนในการทาเครื่องสำอางที่มีกรดผลไม้

-ล้างหน้าให้สะอาดเพราะหากมีเครื่องสำอางตกค้างจะต้านฤทธิ์ของกรดผลไม้
-ไม่ควรทาเครื่องสำอางขณะหน้าเปียกเพราะผิวจะระคายเคืองมาก
-ใช้เครื่องสำอางแต่น้อยแล้วทาบริเวณที่ต้องการให้ทั่ว ไม่ต้องตบ ไม่ต้องนวด ไม่ต้องอบหน้า
-เริ่มต้นให้ทาวันละครั้งก่อน หากผิวระคายเคืองหรือลอกมากให้ทาวันเว้นวัน
-หลังจากทาไปได้ระยะเวลาหนึ่งยังไม่มีการลอกและไม่มีปัญหาเรื่องระคายเคืองให้เพิ่มเป็นทาวันละ 2 ครั้ง
-ต้องทายากันแดดร่วมด้วย
-เมื่อผิวหนังได้ผลเป็นที่น่าพอใจก็ให้ลดลงเหลือวันละครั้ง
-ไม่ควรทาเครื่องสำอางที่ผสมกรดผลไม้กับรอบด้วงตา และริมฝีปาก


2. ครีมกันแดด

3. Beta Hydroxy Acid [ BHA ] หรือกรด salicylic acid เนื่องจากเป็นกรดมากทำให้มีการลอกผิวหน้าลึกกว่ากรดผลไม้ และเกิดระคายเคืองต่อใบหน้า

การเลือกรองเท้า


ลักษณะรองเท้าที่ดี


รองเท้ามีประโยชน์ที่สำคัญ คือ ใช้ป้องกันเท้า เช่น ตะปูตำและลดการกระแทกเวลาเราเดินรองเท้าที่ดีต้องใส่พอดีกับเท้าการที่รองเท้ากว้างหรือแคบไปจะทำให้เกิดการได้รับบาดเจ็บและเท้าพิการส่วนประกอบของรองเท้ามีดังนี้


- ส่วนที่หุ้มนิ้วเท้า (toe box) ซึ่งอาจจะมีรูปร่างกลมหรืออกเหลี่ยม เมื่อใส่รองเท้าแล้วจะต้องมีพื้นที่ให้นิ้วเท้าขยับ

- ส่วนบนบริเวณที่เป็นรูรองเท้าใช้เชือกผูกเรียกว่า vamp ควรจะทำจากผ้าหรือหนังหากแข็งเกินไปจะทำให้เกิดตาปลา ควรใส่รองเท้าที่ใช้เชือกผูก
-ส่วนพื้นรองเท้า SOLE ซึ่งประกอบด้วยพื้นด้านที่เท้าเราสัมผัสเรียกว่า Insole ส่วนพื้นรองเท้าเราเรียกว่า Outsole สำหรับแผ่นที่รองรับแรงกระแทกอยู่ระหว่างกลางเรียก Midsole และส่วนที่สัมผัสกับพื้น พื้นรองเท้าที่ดีควรจะนุ่มเพื่อกันการกระแทกและพื้นรองเท้าไม่ควรหนาเกินไป

-ส่วนส้นเท้า HEEL เป็นส่วนที่สำคัญเพราะเป็นส่วนรับน้ำหนักเวลาเราเดิน ควรจะเลือกส้นเท้าที่กว้างและนุ่มส้นรองเท้าไม่ควรเกิน 2 นิ้วส้นยิ่งสูงจะทำให้เจ็บฝ่าเท้าได้มากขึ้น
-ส่วนพื้นบริเวณส้นเท้า Heel Couter เป็นส่วนที่อยู่บริเวณส้นเท้าเพื่อให้เวลาเดินเท้ามีความมั่นคงไม่ล้ม ควรบุด้วยวัสดุที่นุ่ม

-Heel tab คือส่วนของรองเท้าที่ล้อมรอบเอ็นร้อยหวาย ควรจะบุด้วยวัสดุที่นุ่ม
-ส่วนที่บุในรองเท้าควรจะทำด้วยวัสดุที่นุ่มและที่สำคัญต้องไม่มีตะเข็บ
-พื้นส่วนที่เว้าเข้าของพื้นรองเท้า(ส่วนที่ทำให้เราบอกว่าเป็นเท้าข้างซ้ายหรือขวา)

รองเท้าที่ดีต้องมีลักษณะดังนี้

-รองเท้าต้องมีลักษณะเหมือนเท้าของท่าน
-รองเท้าต้องทำจากวัสดุที่นุ่มเท้าเหมือนถุงมือที่ทำจากหนัง
-รองเท้าที่ดีส้นเท้าไม่ควรสูงเกิน 1 นิ้วและหากต้องใส่ส้นสูงก็ไม่ควรเกิน 2 นิ้วและใส่ไม่เกิน 3 ชั่วโมงในแต่ละครั้งและให้ถอดออกหากไม่จำเป็นเช่นที่ทำงาน
-พื้นรองเท้าต้องนุ่มและกันกระแทกและไม่ลื่นโดยมากทำจากยางจะดีกว่าหนังสัตว์
-ไม่ซื้อรองเท้าที่มีตะเข็บบริเวณที่เจ็บเช่นบริเวณนิ้วหัวแม่เท้า
-หลีกเลี่ยงรองเท้าที่มีน้ำหนักมากโดยเฉพาะรองเท้าที่ส่วนหัวรองเท้าทำจากยางและมีขนาดใหญ่เพราะจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
-ควรใช้รองเท้าที่เป็นเชือกผูกเพราะจะใส่ได้พอดีกว่ารองเท้าที่เป็นแบบ slip-on shoes
การเลือกรองเท้าสำหรับเด็ก
เด็กไม่จำเป็นต้องสวมรองเท้าจนกระทั่งเมื่อเด็กเริ่มเดินประมาณอายุ 12-15 เดือนต้องซื้อรองเท้าที่พอดีกับเท้า โดยทั่วไปอาจจะต้องเปลี่ยนรองเท้าทุก3- 6 เดือนหากเท้าเด็กโตขึ้น หากเด็กชอบถอดรองเท้าออกบ่อยๆแสดงว่ารองเท้านั้นอาจจะใส่ไม่สบายเท้าให้ตรวจเท้าเด็กว่ามีรอยกดทับหรือรอยแดงหรือรอยถลอกหากมีแสดงว่ารองเท้าคับไป

รองเท้าสำหรับผู้หญิง
รองเท้าที่ดีควรจะส้นเตี้ยและปลายเท้ากว้างแต่สำหรับคุณผู้หญิงมักจะเลือกรองเท้าส้นสูงปลายเท้าแคบซึ่งทำให้เกิดอาการปวดเท้า นิ้วเท้า น่องและหลัง

ภาวะที่เกิดจากการใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม
นิ้วหัวแม่เท้าผิดรูป
ตาปลา
เอ็นฝ่าเท้าอักเสบ
เล็บขบ

ดวงตา สดใส ไร้ริ้วรอย

ข้อปฏิบัติเพื่อดวงตาสวย

1.พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ

2.ดื่มน้ำสะอาดมากๆ จะทำให้ดวงตาชุ่มชื่น

3.หลีกเลี่ยงการโดนลมแรง และแสงแดดเจิดจ้า เพราะเป็นสาเหตุให้ตาแห้ง

4.เลี่ยงการถูกกระทบกระแทกรอบดวงตา

5.ไม่ใช้สายตากับบางสิ่งต่อเนื่องนานเกินไปเป็นประจำ

6.เลิกพฤติกรรมการนอนคว่ำ เอาหน้าถูหมอน

7.รักษาความสะอาดบนใบหน้าและผิวรอบดวงตาให้สะอาดหมดจด

8.ไม่เอามือสกปรกขยี้ตา

9.เลือกเครื่องสำอางสำหรับแต่งรอบดวงตาที่มั่นใจว่าปลอดภัยแน่นอน เพราะถ้าเกิดแพ้ขึ้นมา นอกจากจะทำให้ดวงตาอักเสบ มีน้ำตาไหลไม่หยุดแล้ว อาจทำให้ผิวรอบดวงตาเกิดแพ้ เป็นเม็ดอักเสบ หรือสีผิวเปลี่ยนแปลงได้

10.ไม่จำเป็นต้องสรรหาสารพัดครีมบำรุงมากมาย เพราะผิวบริเวณนั้นมีความอ่อนบางมากกว่าส่วนอื่น ๆ ของใบหน้า และมีโอกาสที่สารต่าง ๆ จะหลุดลอดเข้าสู่ดวงตาจนเป็นอันตรายได้ถ้าทำได้ตามวิธีเหล่านี้ รับรองว่าดวงตาของคุณจะสวยใสเกินหน้าใครต่อใครแน่นอน

ทำอย่างไรให้ดูสวย


คุณผู้หญิงหลาย ๆ ท่าน คงจะเคยประสบปัญหาเซ็ตผม จัดทรง ยังไงก็ดูไม่ได้รูป ไม่สวยอย่างตั้งใจใช่ไหมคะ บางทีตื่นขึ้นมาผมก็ชี้ ทั้ง ๆ ที่จะมีนัดแต่เช้าตรู่ หรือไม่ก็ฟูน่าเกลียด บางคนไม่มีเวลาสระ ผมก็ลีบแบนจะแวะร้านทำผมก็เห็นจะไม่ทัน จะสระเองก็ไม่มีเวลาพอมานั่งไดร์ เฮ้อ.. กลุ้มในเสียจริงแล้วแบบนี้ต้องพกพาความไม่มั่นใจออกไปนอกบ้านด้วยเหรอ…ไม่ต้องหรอกค่ะ คุณสาว ๆ หากคุณรู้เทคนิคในการจัดการทรงผมที่มีปัญหาแต่ละอย่าง มาดูกันเลยค่ะ

- ปัญหาจัดทรงยาก ดูแห้ง ฟูกระจาย ไร้น้ำหนัก หรือผมหยิกฟูไม่ขอดสวย ให้หวีรวบขึ้นแล้วมัดหางม้าเก๋ ๆ เพราะมันง่ายที่สุด เร็วที่สุด แล้วลองขยับดูว่า จะรวบม้าสูง หรือม้าต่ำ แบบไหนจะสวยที่สุด แล้วอาจจะใช้ที่คาดผมช่วยด้วยก็ได้ แต่ควรจะเลือกสีพื้น ๆ อย่างสีดำ หรือสีน้ำตาลนะคะ

- ปัญหาปลายผมแห้ง แตก หรือหยิกชี้ เป็นฝอย เวลามัดหางม้า ก็ให้สอดปลายผมลอดยางรัดย้อนกลับเป็นมวย แล้วฉีดสเปยร์เนื้อเบา ๆ บาง ๆ เพื่อให้ผมอยู่ตัว เก็บผมที่ฟูให้ดูเรียบสวย

- ปัญหาผมลีบลู่ ขาดความพริ้ว ดูไม่มีชีวิตชีวา แต่ก็ไม่มีเวลาจะมาสระและไดร์ใหม่ ให้ฉีดสเปรย์บาง ๆ ที่รากผม แล้วไดร์ จ่อลมไดร์เน้นเป่าโคนผมเป็นพิเศษ ผมที่ลีบจะดูหนาขึ้น แต่ต้องระวังไม่ให้สเปรย์ที่ฉีดมากเกินไป เพราะผมจะยิ่งลีบไปกันใหญ่

- หาหมวกเก๋ ๆ สวม หรือหาผ้าแปลก ๆ โพก ในลักษระแฟชั่นอยากเก๋รายวัน ทำตัวเก๋ ดีกว่าจะปล่อยให้ผมกระเซิงออกมาอวดสายตาชาวบ้าน

- ลองทาลิปสติกสีสดใส และยิ้มแย้มแจ่มใส่เสมอ เพื่อดึงสายตาคนมองให้ไปอยู่ที่รอยยิ้มของคุณแทนเห็นไหมคะ แค่นี้นานาปัญหาเส้นผมของคุณ ก็ไม่ใช้เรื่องใหญ่อีกต่อไป

นิสัยที่ว่าไม่ดีต่อความงาม


คุณผู้หญิงทั้งหลายทราบหรือไม่คะ ศัตรูตัวฉกาดของความงาม จริง ๆแล้ว มัก็คือนิสัยเสีย ๆ บางอย่างของคุณสาว ๆ นั้นเองแหละ มาดูกันเลยดีกว่า ว่านิสัยที่ว่าไม่ดีต่อความงามนั้น มีอะไรบ้าง แล้วคุณมีนิสัยแบบนี้อยู่สักกี่ข้อ

- ชอบขมวดคิ้วและชักสีหน้า : ก็นี่น่ะ เป็นสาเหตุสำคัญของรอยเหี่ยวย่นเลยนะ ถ้าตอนยังเป็นวัยรุ่นทำน่ะ คงไม่รู้สึกเท่าไหร่ แต่ถ้าตอนนี้คุณถึงวัยปลายยี่สิบ หรือย่างเข้าเลยสามแล้วล่ะก็ ลองไปยืนชักสีหน้า หรือขมวดคิ้วหน้ากระจกดูสิ แล้วจะตกใจ

- เลียปาก :นอกจากจะเป็นบุคคลิกที่ดูจะไม่ค่อยงามแล้ว มันยังทำให้ปากเราแห้งด้วย เพราะหลังจากน้ำลายแห้งแล้ว มันจะดูดความชื้นจากริมฝีปาก ลิปมันที่ทาเพื่อปกป้องความชุ่มชื้นและแสงแดด ก็จะหมดไปแล้วน้ำลายยังไปสร้างสารบางอย่างที่ช่วยดุดแสดงแดดเข้าไปมากขึ้นอีกล่ะค่ะ

- ขยี้ตา : ก็ผิวรอบดวงตาน่ะบอบบางมาก การขยี้ตบ่อย ๆ จะทำให้ริ้วรอยก่อตัวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว

- ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์บำรุงผิวหน้าขวดเดียว :ก็ขวดเดียวมันจะไปพออะไรล่ะคะ ยิ่งถ้าวัน ๆ ต้องเจอมลพิษนานารูปแบบอีกทั้งกลางวันกลางคืน ก็มีความแตกต่างกัน อย่างน้อยครีมสำหรับกลางวันและกลางคืนก็ไม่ควรจะใช้ขวดเดียวกันแล้วล่ะค่ะ

- กัดเล็บ และปล่อยมือแห้ง : การกัดเล็บเนี่ย นอกจากจะบ่งบอกบุคคลิกภาพที่ไม่มีความมั่นใจแล้ว ยังสกปรก และทำให้เล็บอ่อนแอด้วย เล็บก็จะกุด ๆ ไม่สวย ซึ่งเราไม่ควรมองข้ามเลยนะคะ มือน่ะ เป็นสิ่งที่สังเกตเห็นกันได้ง่าย แล้ในแต่ละวันน่ะเราก็โชว์มือบ่อยซะด้วย และใครที่มัวแต่ใช้ครีมบำรุงผิวหน้าจนลืมผิวมือน่ะ ก็ช่วยให้เวลากับมือสักหน่อยนะคะ เพราะถ้าหน้าเด้งแต่มือเหี่ยวน่ะ มันก็ดูเหมือนแต่งตัวไม่เสร็จน่ะแหละ

- แปรงผมตอนที่ผมเปียก :ถือว่าเป็นการทำร้ายผมอย่างรุนแรงเลยเชียวหละ ใครที่ชอบทำแบบนี้ ขอให้เข้าใจเสียใหม่ว่า ผมแห้งน่ะเปราะบางกว่าผมเปียกตั้ง 30% เลยนะ

- ห่อไหล่ : การห่อไหล่ด้วยการนั่งทำงานอยู่กับโต๊ะทั้งวี่ทั้งวัน กล้ามเนื้อไหล่และคอจะเกร็งและตึงเครียด ซึ่งอาจจะด่อให้เกิดปัญหาสุขภาพเรื้อรังตามมาก็ได้นะ

- บีบสิว : สาว ๆ หลาย ๆ คนเห็นเป็นทนไม่ได้ มันกวนใจจริง ๆ ใครต่อใครก็บ๊อกบอกกันมา อย่าบีบนะ แต่มือมันก็ช่างไม่ฟังเอาเสียเลย ใครมีปัญหานี้ ต้องตระหนักถึงข้อเท็จจริงก่อนว่า ถ้าคุณไปบีบมัน อายุของมันจะยืดยาวอยู่บนหน้าของคุณนานยิ่งขึ้นไปอีก และอาจจะทำให้เป็นแผลเป็นเลยก็ได้ ทางที่ดีเราต้องยับยั้งชั่งใจดีกว่านะ

- เกาแผลยุงกัด : ยุ่งกัด ก็มันคัน ยิ่งเกาก็ยิ่งมัน ยิ่งคันเข้าไปใหญ่ เกาไปเกามาเลือดซิบและบางทีก็ติดเป็นแผลเป็นไปตลอดชีวิตเลย คิดดูเถอะว่า ถ้าบนตัวคุณมีแต่ลายแผลเกายุงกัดน่ะ มันจะเยินขยาดไหน

เมนูอาหาร เพื่อผิวผ่อง


อาหารที่ดีกับผิวพรรณ

เนื้อปลา

เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชราและความเสื่อมของร่างกาย

น้ำมันมะกอก

น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูงก็จริง แต่มีข้อดีคือมีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง และเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอ และอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวดูอ่อนวัยคงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม

เมล็ดข้าวและธัญพืช

ไม่ว่าจะเป็นข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ก ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ งา นอกจากจะมีวิตามินบีสูงแล้ว ยังมีวิตามินอี ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ซึ่งจะช่วยสร้างและรักษาความแข็งแรงของเซลล์ มีงานวิจัยระบุว่าวิตามินอี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และช่วยปกป้องความเสียหายที่เกิดจากมลภาวะให้แก่ผิว

ผลไม้และผักสด

ผักสด มีวิตามินเอ ช่วยทำให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ และยังมีวิตามินซีซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเส้นใย คอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ผิวพรรณของใบหน้าดูเต่งตึง มีความยืดหยุ่น ผักสดและผลไม้ จึงควรเป็นอาหารที่คุณควรบรรจุไว้ในเมนู อาหารทุกมื้อของคุณ ผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก ได้แก่ ส้ม มะนาว มะเขือเทศสับปะรด ฝรั่ง ส่วนผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอมาก ได้แก่ กล้วย มะละกอ ฟักทอง แครอท

น้ำเปล่า

น้ำทำหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับทุกระบบภายในร่างกาย และหากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ6-8 แก้วโต ๆ เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง แบบไม่ต้องลงทุนมาก เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และยังป้องกันผิวหย่อนยานจากการลดน้ำหนักอย่างอวบฮาบอีกด้วย

ตัวอย่างเมนูอาหารเพื่อผิวผ่อง

มื้อเช้า: สลัดผลไม้ราดด้วยโยเกิร์ตหรือสลัดผักสดกับน้ำสลัดใส
มื้อเที่ยง: ปลาจาระเม็ดนึ่ง แกงเลียง ข้าวกล้อง
มื้อว่าง: นมถั่วเหลือง หรือน้ำผลไม้คั้นสด ๆ
มื้อเย็น: ลาบเห็ด ซุบเต้าหู้ ข้าวกล้อง

ผมสวยด้วยพืชและผัก


ผมสวย นอกจากจะช่วยให้ใบหน้าของคุณดูดีขึ้นแล้ว เส้นผมนิ่มสลวย ยังบ่งบอกถึงสุขภาพที่ดีอีกด้วย แต่ถ้าคุณกำลังกลุ้มใจกับปัญหาผมเสีย เรามีวิธีแก้ด้วยพืชผักมาบอกกันค่ะ

มะกรูด

นำมะกรูดคั้นเอาน้ำ 1-2 ช้อนชา ชะโลมนวดให้ทั่วศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด แค่นี้ผมของคุณก็จะดูสวยมีชีวิตชีวากับเขาบ้างแล้วล่ะค่ะ

ชะอม

ถ้าผมของคุณขาดชีวิตชีวา เจอลมแรงยังแทบไม่กระดิก แล้วล่ะก็ แนะนำว่าให้ใช้สูตรชะอม โดยใช้ใบชะอมประมาณ 1 กำมือนำมาต้มกับน้ำสะอาด 3 ถ้วยจนเดือด กรองเอาแต่น้ำเขียวๆ นำไปวางไว้ให้เย็น หลังจากสระผมสะอาดแล้ว นำผ้าขนหนูชุบน้ำชะอมพอหมาดๆ เช็ดถูให้ทั่วศีรษะ จะช่วยคืนสภาพเส้นผมให้ดีขึ้นได้ และยังช่วยไม่ให้ผมแตกปลายอีกด้วย แต่ก็คงต้องทนกลิ่นเหม็นเขียวของชะอมสักหน่อยนะคะ

กล้วย

นำกล้วยน้ำว้าสุกมาบด หยดน้ำมันอัลมอนด์ลงไปเล็กน้อย ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมานวดลงบนเส้นผมให้ทั่วศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณ ,15 นาที เพื่อให้ส่วนผสม ค่อยๆซึมเข้าไป แล้วจึงล้างออกให้สะอาด ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผมแห้งกรอบ ขาดชีวิตชีวา ก็จะฟื้นคืนชีพได้

ตะไคร้

ตะไคร้ที่เราใส่ในต้มยำ นี่แหละค่ะ ใช้แก้ปัญหาผมแตกปลายได้ผลดีทีเดียวให้ใช้ตะไคร้ 2-3 ต้น นำมาโขลกให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำ หลังจากสระผมสะอาดดีแล้วนำน้ำตะไคร้มาชะโลมและนวดให้ทั่วศีรษะทิ้งไว้สัก 10 นาที จึงล้างออก ทำกันเป็นประจำสัก 2 เดือน รับรองได้ว่า ปัญหาผมแตกปลาย จะไม่ใช่เรื่องกวนใจคุณอีกต่อไปค่ะ

น้ำมันมะกอก

ใช้น้ำมันมะกอกผสมกับน้ำมันหอมโรสแมรี่ นำมานวดให้ทั่ว หมักผมค้างไว้ 1 คืน แล้วค่อยสระผมในตอนเช้า จะช่วยขจัดรังแคได้ค่ะ วีทเจิร์มสูตรคอนดิชั้นเนอรฺชนิดเข้มข้น นำวีทเจอร์ม มาผสมกับน้ำมันมะกอก แล้วนวดให้ทั่วศีรษะ ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น บิดให้แห้ง นำมาคลุมผมไว้ ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วจึงล้างออก

เคล็บลับผิวหน้าใส ห่างไกลสิว


1. สำคัญสุดคือ รักษาความสะอาดของใบหน้าอยู่เสมอ อย่างน้อยควรจะล้างหน้าวันละ 2-3 ครั้ง เพื่อลดความมัน

2. หลังทำกิจกรรมที่มีเหงื่อออกมากๆแล้ว ควรล้างหน้าทุกครั้ง เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรก ความมัน และแบคทีเรียบนใบหน้า

3. ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า สูตรปราศจากความมัน 100 เปอร์เซ็นต์ และที่มีส่วนผสมของ Tricosan ซึ่งสามารถขจัดแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว หรือที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากพืชธรรมชาต ิที่เหมาะกับสภาพผิวที่มีปัญหาสิวโดยเฉพาะ

4. ระหว่างที่เป็นสิว ควรงดใช้ผลิตภัณฑ์ใส่ผม หรือเครื่องสำอางที่มีความเหนียวเหนอะหนะสักระยะหนึ่ง เพราะสารในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ มักตกค้างอยู่แถวๆตีนผม ซึ่งจะทำให้เกิดการระคายเคืองและเป็นสิวเพิ่มมากขึ้น

5. เวลาเป็นสิว พยายามเก็บมือเก็บไม้ไว้กับตัวหน่อยนะคะ โดยเฉพาะอย่าใช้มือที่ไม่สะอาดไปลูบหรือสัมผัสหน้าบ่อยๆหรือไม่สัมผัสเลย ถ้าไม่จำเป็น

6. ข้อนี้ต้องเน้นว่า “ห้าม” เลยละค่ะ ...ห้ามบีบหรือแกะสิวเป็นอันขาด เพราะจะทำให้เกิดรอยแผลเป็นที่รักษาได้ยาก

7. ควรรักษาสุขภาพโดยทั่วไปให้ดีอยู่เสมอ รับประทานผัก ผลไม้ น้ำผลไม้ และน้ำสะอาด ให้มาก ๆ รวมทั้งพยายามอย่าเครียด และอย่านอนดึก เป็นดีที่สุดค่ะ

สนามกีฬาโคลอสเซียม




สนามกีฬาโคลอสเซียม แห่งกรุงโลม

โคลอสเซียม (อังกฤษ: Colosseum; อิตาลี: Colosseo - โคลอสโซ) เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสปาเซียนแห่งอาณาจักรโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิติตัส (Titus) ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 หรือประมาณปี ค.ศ. 80 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน
ในบางครั้งจะมีการเรียกชื่อ โคลิเซียม (Coliseum)


7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 โคลอสเซียมได้รับเลือกให้เป็น1 ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ จากการลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ
สามารถดาวน์โหลดไฟล์ Microsoft Word ได้ที่นี่นะค่ะ

http://th.upload.sanook.com/A0/140e75ba547fc24ec1961963df5b2503

แผนที่ โคลอสเซียมค่ะ
http://maps.google.com/maps?f=q&source=s_q&hl=en&geocode=&q=%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1&sll=37.0625,-95.677068&sspn=21.180361,35.859375&ie=UTF8&ll=41.932422,12.471714&spn=0.019347,0.035019&t=h&z=14&iwloc=poi0

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552

เคล็ดลับ 30 ข้อให้คุณสวยอ่อนกว่าวัย

1. หลับสนิทเพิ่มพลังผิว

การได้นอนหลับสนิทไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นในยามตื่นเท่านั้น แต่ยังเป็นขุมพลังสำคัญที่ช่วยให้ผิวสุขภาพดี และอ่อนเยาว์อีกด้วย เพราะขณะนอนหลับ ระบบประสาทอัตโนมัติ Parasympathetic Nervous System จะทำงานอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในช่วงเวลาระหว่างสี่ทุ่มถึงตีสอง โดยระบบนี้จะทำการส่งอาหารให้แก่เซลล์ทุกๆ เซลล์ ทำให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิว ลองสังเกตดูได้ ถ้าวันไหนเข้านอนเร็วและหลับสนิทตื่นขึ้นมาผิวจะสดใสเป็นพิเศษ

2. เติมออกซิเจนให้ผิว

ออกซิเจนเป็นหัวใจสำคัญในกระบวนการเผาผลาญพลังงาน นำสารอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย รวมทั้งผิวของเราด้วย ดังนั้น การหายใจที่สั้นกว่าปกติหรือผิดจังหวะ นอกจากจะทำให้ปอดไม่ได้รับออกซิเจนมากเท่าที่ควร ยังทำให้ร่างกายไล่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกายได้น้อยไปด้วย ส่งผลให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้ไม่เต็มที่ รู้ไว้นะคะ แค่หายใจผิดก็ส่งผลให้ผิวพรรณไม่เปล่งปลั่งสดใส แลดูแก่ก่อนวัยได้ค่ะ

3. คืนความอ่อนเยาว์ด้วยโยคะ

ในระยะ 2-3 ปีมานี้ การฝึกโยคะกลายเป็นการออกกำลังที่สาวไทยรู้จักเป็นอย่างดี เพราะไม่เพียงช่วยเสริมสร้างร่างกายให้สมส่วนแข็งแรง แต่ยังช่วยให้มีสมาธิ และดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น เป็นเพราะการฝึกโยคะทำให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น น้ำหนักส่วนเกินจะหายไป ผิวพรรณสดใส แถมริ้วรอยก็ยังลดเลือนลงด้วย

4. 10 ข้อต้องห้าม เพื่อไม่ให้ผิวแก่ก่อนวัย

คุณสาว ๆ ที่อยากเป็นเจ้าของผิวกายที่ดูอ่อนเยาว์อย่างมีสุขภาพดีไปนาน ๆ จำไว้ให้ขึ้นใจ 10 อย่างนี้ ต้องงด ละ เลิก ให้เร็วที่สุด
- บุหรี่
- น้ำอัดลม
- แอลกอฮอล์
- การถู หรือขัดผิวแรง ๆ
- นอกดึก (เป็นประจำ)
- อยู่กลางแจ้งโดยไม่ปกป้องผิว
- ดื่มน้ำน้อย
- ละเลยการทาโลชั่น
- เขี่ยผักออกจากจาน
- ไม่ออกกำลังกาย

5. ผิวอ่อนเยาว์ด้วยเสียงหัวเราะ

เคยสังเกตไหมว่า ยิ่งอายุมากขึ้น เสียงหัวเราะเรากลับลดลง นั่นอาจเป็นเพราะความเครียดและหน้าที่การงาน ดังนั้น อย่าลืมหาเวลาหัวเราะให้มากขึ้น เพราะนอกจากจะผ่อนคลายความเครียดทางด้านจิตใจแล้ว ระบบร่างกายที่ตึงเครียดอยู่ก็ถูกปลดปล่อย และผ่อนคลายตามไปด้วย หัวใจเต้นแรงขึ้น เลือดไหลเวียนไปทั่ว ผิวพรรณที่หม่นหมองก็มีชีวิตชีวา ดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น นั่นเพราะการหัวเราะช่วยทำให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานเป็นปกติ ช่วยเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และยังส่งผลต่อผิวหนังโดยตรง ช่วยลดความเครียดอันเป็นต้นเหตุของการเกิดอนุมูลอิสระ ที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย

6. เลี่ยงควันบุหรี่

บุหรี่นับเป็นอีกหนึ่งศัตรูตัวร้ายของผิวสวย เพราะจะเข้าไปขัดขวางการดูดซึมวิตามินซีของร่างกาย ส่งผลกระทบต่อการผลิตคอลลาเจน ทำให้ผิวหย่อนยาน ทั้งยังเป็นตัวการทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระ ซึ่งทำให้ผิวเสื่อมสภาพและแก่กว่าวัย คนที่สูบบุหรี่เป็นประจำจะดูแก่กว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันถึง 10 ปี ผิวพรรณดูเหี่ยวย่น สุขภาพทรุดโทรม แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่ แต่อยู่ท่ามกลางควันบุหรี่ก็ได้รับผลคล้ายกัน เพราะควันบุหรี่สามารถสร้างความเสียหายให้ผิวได้ไม่แพ้การเผชิญกับแสงแดดเลยทีเดียว

7. ชะลอริ้วรอยด้วยความชุ่มชื่น

ทุกวันนี้ภาวะอากาศแห้งเพราะเครื่องปรับอากาศ กลายเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวแก่กว่าวัย โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นสาวออฟฟิศที่ต้องทำงานในห้องแอร์วันละไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ผิวแห้งโดยไม่เติมความชุ่มชื้น เพราะนั่นเท่ากับการยินยอมให้ผิวเกิดริ้วรอย และแก่ก่อนวัยอย่างเต็มใจ ลองใช้เคล็ดลับง่าย ๆ เหล่านี้ดูค่ะ
- หลังอาบน้ำ ให้ซับตัวพอหมาดแล้วทาโลชั่นให้ทั่วตัวทันที เพื่อเป็นการเก็บกักความชุ่มชื่นบนผิว
- ระหว่างวันถ้ารู้สึกว่าผิวแห้งจนคันอย่าเกา ให้ฉีดน้ำแร่ หรือลูบผิวเบา ๆด้วยน้ำ แล้วทาโลชั่น
- ปลูกต้นไม้ที่โต๊ะทำงาน เพิ่มความชื้นให้อากาศรอบ ๆ ตัว
- เลี่ยงห้องแอร์มาอยู่ในห้องที่อุณหภูมิปกติบ้าง อย่างน้อยก็ในวันเสาร์ - อาทิตย์

8. ลดน้ำหนักอย่างอ่อนโยนต่อผิว

สาวๆสมัยนี้ไม่น้อยเลยที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการลดน้ำหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาว 30 อัพ ที่น้ำหนักขึ้นง่ายแต่ลงยากเหลือใจ หลายคนเลยหักโหมลดน้ำหนักจนผอมจริง แต่ผิวพรรณกลับไม่สดใส ดูแก่กว่าวัยไปเสียนี่ ดังนั้น การลดน้ำหนักอย่างถูกต้องและค่อยเป็นค่อยไปคือ ไม่เกินสัปดาห์ละ 1 กิโลกรัม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อถึงผิว และสุขภาพของคุณเอง โดยการออกกำลังกายควบคู่ไปกับการลดอาหาร เพื่อให้ไขมันกลายเป็นกล้ามเนื้อที่กระชับ ไม่ใช่เหลือแต่หนังที่หย่อนยาน ส่วนเรื่องการลดปริมารอาหาร ก็ต้องเลือกให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพราะถ้าขาดสารอาหารในหมู่ใดหมู่หนึ่งไป ผิวหนังจะแห้งกร้าน เป็นริ้วร่อยง่าย ดูแก่กว่าวัย

9. ปกป้องผิวจากแสงแดด...ศัตรูหมายเลข 1 ของผิว

80% ของสาเหตุที่ทำให้ผิวแก่กว่าวัยก็คือ แสงแดด เพราะรังสีอุตราไวโอเลตจากแสงแดด จะทำปฏิกิริยารวมตัวกับกรดไขมันไม่อิ่มตัวในเซลล์ผิว เกิดจากออกซิไดซ์กลายเป็นกรดไปทำลายอิลาสตินในผิว ทำให้ผิวเกิดริ้วรอย ฝ้า และแก่กว่าวัย ฉะนั้นสาว ๆ ทั้งหลาย ห้ามลืมทากันแดดก่อนออกจากบ้าน และควรทาก่อนออกแดด 20 นาที และเลือกชนิดที่ปกป้องได้ทั้งรังสี UVA และ UVB

10. เขตปลอดเซลลูไลต์

อย่าเพิ่งกรี๊ด โดยเฉพาะสาวๆ ที่วัย 30 อัพ ถ้าพบว่าผิวเนียนเรียบแข็งแรงของคุณ เริ่มมีเซลลูไลต์คุกคามจนไม่กล้าสวมชุดว่ายน้ำ อย่าเพิ่งเก็บชุดเข้ากรุนะคะ งานนี้ต้องลองสู้กันสักตั้ง
- ถูผิวด้วยใยบวบ เริ่มจากปลายมือมาหารักแร้ จากปลายเท้ามาที่โคนขา ส่วนหน้าอกและหลังให้ถูจากบนลงล่าง เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง ช่วยขจัดของเสียที่หมักหมมอยู่กับก้อนไขมันให้สลายตัว
- บริหารกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน หน้าท้อง ต้นขา ต้นแขน ท่าง่ายๆ ที่ได้ผลดีเยี่ยมคือ ถีบจักรยานอากาศ
- ฝึกคลายเครียด เพราะความเครียดจะทำให้ร่างกายรับออกซิเจนได้ไม่เต็มที่ ส่งผลถึงระบบไหลเวียนของเหลวในร่างกาย
- ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อช่วยขบวนการเผาผลาญ การไหลเวียนโลหิต ขับถ่ายของเสียจากร่างกายได้ดีขึ้น ลดการเกิดเซลลูไลต์

11. หวานแต่พอดี

ความหวานในที่นี้หมายถึงน้ำตาลค่ะ เพราะนอกจากจะทำให้อ้วนและฟันผุแล้ว ยังทำให้ติดเชื้อได้ง่าย เพราะน้ำตาลทำให้ภูมิต้านทานโรคในร่างกายต่ำลง สมองเฉื่อย เซื่องซึม ไม่กระฉับกระเฉง เนื่องจากระบบความสมดุลของแร่ธาตุในร่างกายเสียไป ที่สำคัญยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คนเราแก่ก่อนวัยเพราะการเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายเป็นตัวเร่งการเกิดอนุมูลอิสระ ถ้าตัดความหวานไม่ได้ ให้เปลี่ยนไปกินน้ำผึ้งแทน เพราะน้ำผึ้งมีสารต้านอนุมูลอิสระ สียิ่งเข้มก็ยิ่งดี เต็มไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ ร่างกายดูดซึมพลังงานได้อย่างรวดเร็ว

12. ผิวของคุณกำลังหิวน้ำอยู่หรือเปล่า

อากาศร้อนๆทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำประมาณ 3-4 ลิตรต่อวัน หากไม่ดื่มน้ำทดแทน อาจทำให้ระบบหมุนเวียนโลหิตติดขัด ระบบขับถ่ายทำงานไม่เต็มที่เกิดริ้วรอยบนผิวหนัง แถมยังแห้งเป็นขุย ผิวพรรณเลยไม่สดใส แถมยังดูแก่กว่าวัยเข้าไปอีก การดื่มน้ำที่ถูกต้อง ควรจะเป็นน้ำสะอาด และค่อย ๆ จิบตลอดทั้งวัน ไม่ใช่ดื่มรวดเดียว 1 ลิตร และอย่าดื่มขณะมื้ออาหารมากไป เพราะน้ำจะทำให้สารอาหารไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว เกินกว่าที่ร่างกายจะดูดซึมทัน

13. สายฝนไม่ชุ่มฉ่ำสำหรับผิว

แม้น้ำจะช่วยคืนความชุ่มชื่นให้ผิว แต่ถ้าเป็นน้ำฝน คุณสาวๆโปรดหลีกเลี่ยง เพราะการโดนละอองฝนไม่เพียงทำให้ผิวเกิดความอับชื้น แต่ในน้ำฝนยังมีส่วนประกอบของเกลือไบคาร์บอเนตซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่าง ถ้าโดนผิวบ่อย ๆ อาจทำให้ผิวซึ่งมีสภาพเป็นกรดแห้งหยาบได้ นอกจากนี้ฝนที่ตกในเมืองใหญ่ ยังชะล้างเอาฝุ่นผง และเชื้อโรคมาด้วย ครั้งต่อไปถ้าเจอฝน รีบกลับบ้านอาบน้ำ ทาโลชั่นป้องกันผิวด่วน

14. เติมความสุขให้ผิวด้วยการนวดทางการแพทย์

การสัมผัสถือเป็นส่วนหนึ่งของการบำบัดโรค ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ โดยผิวหนังถือเป็นอวัยวะที่รับความรู้สึกได้ดี และเร็วที่สุด การสัมผัสทางผิวหนังจะช่วยกระตุ้นปลายประสาท กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขเอนดอร์ฟินออกมา ทำให้รู้สึกอารมณ์ดี ลดระดับของอะดรีนาลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่หลั่งออกมาในช่วงที่เกิดความเครียด ดังนั้น การหาเวลาไปสปาเพื่อนวดตัวสัปดาห์ละครั้ง จึงไม่เพียงช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งเป็นประกาย ดูอ่อนเยาว์กว่าวัย

15. อาบผิวให้สะอาดอ่อนเยาว์

ทราบไหมคะว่า แค่การอาบน้ำดี ๆ ก็ช่วยให้ผิวคุณดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้ เพราะผิวสุขภาพดีเริ่มต้นที่ความสะอาด นอกจากเลือกใช้สบู่หรือเจลอาบน้ำกลิ่นโปรดแล้ว ลองใช้เทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ช่วยเพิ่มความสดใสให้กับผิวคุณดู- หลังจากเหนื่อยจากงานมาทั้งวัน ให้ชั่วโมงอาบน้ำเป็นการผ่อนคลาย ด้วยการจุดเทียนหอมกลิ่นโปรดในห้องน้ำ และอาบน้ำอย่างช้าๆ ละเมียดละไม- แช่น้ำอุ่นสัก 15 นาที จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดประจำวันได้- ถ้าอาบน้ำด้วยฝักบัว ควรอาบน้ำเย็นรดตัวเป็นครั้งสุดท้าย คุณจะรู้สึกสดชื่นขึ้นทันที เพราะระบบหมุนเวียนโลหิต จะถูกกระตุ้นให้ทำงานอย่างรวดเร็ว- ที่สำคัญ หลังเช็ดตัวควรทาโลชั่นทันที เพื่อเก็บกักความชุ่มชื่นของผิวเอาไว้

16. คืนความอ่อนเยาว์แบบเร่งด่วนด้วยการมาสค์

การมาสค์ผิวกายให้ประโยชน์เช่นเดียวกับการมาส์คผิวหน้า คือช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบหมุนเวียนโลหิต ทำให้ผิวสดชื่นเปล่งปลั่ง เนียนละเอียด มาสค์ก็มีหลายแบบให้เลือกใช้ตามโอกาส เช่น แบบโคลนช่วยชะล้างน้ำมันและเซลล์ผิวเก่าที่ตกค้างอยู่บนผิว ทำให้รูขุมขนไม่อุดตัน ผิวกระชับเปล่งปลั่ง หรือแบบเพิ่มความชุ่มชื่น เหมาะกับสาวผิวแห้งที่ต้องการให้ผิวดูอ่อนเยาว์แบบเร่งด่วน

17. ลดเลือนริ้วรอยบริเวณคอ

ผิวบริเวณคอบอบบางกว่าที่คุณคิด เพราะมีต่อมซีบาเชียสซึ่งให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวน้อยกว่าบริเวณใบหน้า เป็นริ้วรอยได้ง่าย อย่าลืมทาผิวให้ลำคอด้วย โดยเฉพาะครีมกันแดดเช่นเดียวกับที่ทาบริเวณใบหน้า นอกจากนี้ยังมีท่านวดเพื่อให้คอกระชับ มีความยืดหยุ่น เริ่มจากยกคางให้สูงขึ้นและยื่นออกไป ให้ขากรรไกรล่างยื่นออกจนรู้สึกผิวหนังใต้คางตึงกว่าเดิม ค่อย ๆ นวดครีมให้เลื่อนขึ้นไปตามลำคอช้า ๆ เอียงศีรษะและลำคอไปมาเป็นระยะ ๆ เพื่อใช้เนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อที่หดตัวเป็นฐานในการนวด ทำเช่นนี้ต่อไปจนถึงหลังใบหู จะช่วยให้ผิวหนังบริเวณนี้แข็งแรง มีความยืดหยุ่น และลดเลือนริ้วรอย

18. เต้นรำทำให้ผิวอารมณ์ดี

เต้นรำจังหวะไหนก็ได้เพียงวันละ 20 นาที สามารถช่วยให้คุณอารมณ์ดีได้ เพราะช่วยเพิ่มระดับเอนดอร์ฟินในร่างกาย ลดอาการซึมเศร้า และความเครียด แถมยังช่วยเผาผลาญแคลอรี่ กระตุ้นระบบหายใจ และระบบหมุนเวียนโลหิตอีกด้วย ถ้าพยายามแล้วแต่เต้นรำไม่เป็น แค่ปล่อยอารมณ์ไปตามเพลงก็เพียงพอแล้วค่ะ สำหรับผิวสวย ๆ แถมสุขภาพดีขึ้นด้วย

19. ริ้วรอยนี้อาจได้มาจากมลพิษ

มลพิษในอากาศมีส่วนทำร้ายผิวให้เกิดริ้วรอยได้ไม่แพ้บุหรี่เลยทีเดียว ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่กำลังได้รับมลพิษจากการหายใจเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ 10 มวนต่อวัน อย่าเพิ่งย้ายบ้านหนีค่ะ เพราะมีวิธีต่อต้านมลพิษมาฝาก ให้รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินเอ ซี อี รวมทั้งหาเวลาออกไปพักผ่อนนอกเมืองบ้าง เพื่อให้ร่างกายได้รับอากาศบริสุทธิ์ นาน ๆ ครั้งก็ยังดีค่ะ

20. ดีท็อกซ์อารมณ์

ความเครียดเป็นอีกตัวการสำคัญในการทำลายสุขภาพผิว และพรากความอ่อนเยาว์จากผิวคุณไปทุกวัน เพราะความเครียดทำให้เกิดอนุมูลอิสระ (อีกแล้ว) ทันทีที่รู้สึกเครียด ลองทำตามนี้ดู
- เคี้ยวหมากฝรั่ง จังหวะเคี้ยวที่สม่ำเสมอช่วยลดความเครียดที่เกิดขึ้นได้ เลือกหมากฝรั่งที่ปราศจากน้ำตาลก็ดีนะคะ ฟันจะได้ไม่ผุไง
- หายใจลึก ๆ ด้วยการวางมือบนหน้าท้อง หายใจเข้าให้ท้องพองออก กลั่นลมหายใจไว้สักครู่ จากนั้นหายใจออกยาว ๆ ให้หน้าท้องแฟบ ทำ 5-10 ครั้ง
- เกร็งและคลายกล้ามเนื้อทีละส่วน โดยเริ่มจากนิ้วเท้า น่อง เข่า สะโพก เกร็งทุกส่วนสักครู่แล้วคลาย จากนั้นแขม่วท้อง กำหมัด เกร็งแขน ไหล่ คอ ใบหน้า สักครู่แล้วคลาย ทำสลับกันจนรู้สึกผ่อนคลายขึ้น

21. ไอร้อน

เพื่อผิวสวยเซาน่าใช้หลักการร้อนจัด-เย็นจัด คือกระตุ้นร่างกายให้ร่างกายขับเหงื่อโดยสภาพความร้อนที่แห้ง และร้อนจัด ตามด้วยการอาบน้ำหรือแช่ร่างกายด้วยน้ำเย็น ไอที่เกิดจากละอองน้ำจะช่วยให้เซลล์ผิวหนังชั้นบนสุดนุ่มนวลขึ้น และกระตุ้นการขับไขมันที่มีของเสียออกจากร่างกายด้วยระบบการขับเหงื่อ รวมทั้งช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต เร่งการเกิดเซลล์ใหม่ และชะลอความเหี่ยวย่นของผิวหนัง ผู้ที่เข้าห้องเซาน่าเป็นประจำ จึงมักดูอ่อนวัยกว่าความเป็นจริง

22. ปาร์ตี้เพื่อผิวอ่อนเยาว์

ถ้าปีใหม่ไม่มีโปรแกรมไปเที่ยวไหน ลองชวนเพื่อน ๆ มาทำปาร์ตี้เพื่อผิวอ่อนเยาว์ที่บ้านดีกว่า
- แทนที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเนื้อสัตว์ด้วยอาหารย่อยง่าย และเครื่องดื่มที่ทำจากผักผลไม้ เพื่อเพิ่มวิตามินให้ผิว
- จุดเทียนหอม และเปิดเพลงเบาๆสร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้ผิวที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน
- ผลัดกันนวดต้นคอ หลัง ไหล่ เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด กระตุ้นให้ผิวได้เคลื่อนไหว- ผลัดกันขัดผิว โดยเฉพาะบริเวณแผ่นหลังที่เรามักขัดเองไม่ทั่ว เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว- อย่าลืมปิดท้ายด้วยการล้างผิวให้สะอาด และชโลมโลชั่นหอม ๆ ที่มีคุณสมบัติช่วยปกป้องผิว

23. สครับจากห้องครัว

การขัดผิวเป็นการลอกผิวชั้นนอกสุดเพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ เป็นการทำความสะอาดอย่างล้ำลึก ทำให้รูขุมขนไม่อุดตัน ช่วยปรับสภาพผิว ให้ผิวผุดผาดอ่อนเยาว์มากขึ้น ดูสดใสขึ้นเยอะ การขัดผิวเหมาะกับสาว ๆ ทุกคน โดยเฉพาะที่ขึ้นเลข 3 ไปแล้ว เพราะในวัยนี้การผลัดเซลล์ใหม่จะช้าลง การขัดผิวจึงเป็นการช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ให้ใกล้เคียงกับระบบที่ร่างกายเคยเป็น สครับสูตรเด็ดหาได้จากห้องครัว ผสมเกลือทะเลกับน้ำมันมะกอกเติมน้ำมะนาวเล็กน้อย เกลือจะช่วยขัดเซลล์ผิวเก่าออก ขณะที่น้ำมันมะกอกช่วยให้ความชุ่มชื้น ส่วนน้ำมะนาวจะช่วยลอกเซลล์เก่าออกไป ผิวใหม่เลยทั้งนุ่มลื่น แถมยังสดใส

24. ขาสวยพร้อมโชว์

ปัญหาเส้นเลือดขอดที่ขา เป็นอีกปัญหาของผิววัย 30 โดยเฉพาะสาวๆที่มีอาชีพต้องยืนหรือนั่งนาน ๆ วิธีบรรเทาคือ ขยับแขนขยับขาบ่อย ๆ พยายามไม่สวมรองเท้าที่สูงเกินไปนัก และควรหาเวลาออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำ หรือการเดิน จะไปช็อปปิ้งก็ได้นะคะ หรือถ้าวันไหนที่รู้สึกล้าจนขยับขาแทบไม่ไหว ลองทำตามนี้นะคะ
- นวดท่อนขาด้วยโลชั่นกลิ่นหอมอ่อนๆเพื่อคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ
- ยกเท้ายันกับผนังให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เลือดไหลเวียนในอีกทิศทางหนึ่ง
- เปิดน้ำจากฝักบัวแรง ๆ ฉีดเข้าที่ต้นขา ไล่ลงไปที่เท้า ให้สายน้ำช่วยนวดผ่อนคลาย

25. ผิวสุขภาพดีด้วยแปรง

ไม่ใช่แค่เส้นผมเท่านั้นที่ควรได้รับการแปรงอย่างสม่ำเสมอ ผิวก็เช่นเดียวกัน เพราะช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้ผิว เป็นการขัดเซลล์เก่าที่ตายแล้วออก รูขุมขนเปิด ผิวอ่อนนุ่มขึ้น โดยแปรงเพียงวันละ 5-10 นาที ก่อนอาบน้ำ เริ่มจากใช้แปรงแห้ง เริ่มแปรงที่เท้าก่อน โดยหมุนเป็นวงกลม ใช้น้ำหนักเบาก่อน จนผิวคุ้นเคยก็ค่อยลงน้ำหนักแรงขึ้น ไล่แปรงขึ้นมาถึงโคนขา จากนั้นหันมาแปรงที่แขน โดยไล่จากปลายนิ้วมายังหัวไหล่ แล้วเลื่อนแปรงมาที่หน้าท้อง ลำคอ หน้าอก หลัง ไหล่ ก่อนจะอาบน้ำ

26. ล้างผิว-ล้างพิษ
ใน 1 วันการอดอาหารเป็นกระบวนการล้างพิษแบบหนึ่ง เหมาะกับสาวๆ วัย 30 อีกนะคะ นอกจากสุขภาพจะดีขึ้น รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าแล้ว ยังทำให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ เพราะเมื่อสารพิษต่างๆในร่างกายถูกขับออกมา ร่างกายคุณก็สะอาดเอี่ยม ร่างกายเลยใสปิ๊งไปด้วย การอดอาหารมีหลายระดับ ให้เลือกแบบที่คิดว่าเหมาะกับตัวคุณ
- ระดับที่ 1 อดด้วยผลไม้ ใช้วิธีกินผลไม้ชนิดเดียวกันตลอดวัน ควรเป็นผลไม้ที่ไม่หวานจัด อย่าง ฝรั่ง ส้มโอ แอปเปิ้ล สาลี่ มะละกอ
- ระดับที่ 2 อดด้วยน้ำผลไม้ ดื่มแต่น้ำผลไม้ชนิดเดียวกันตลอดทั้งวัน โดยเป็นผลไม้ในกลุ่มเดียวกับการอดระดับที่ 1อย่างไรก็ดี การล้างพิษด้วยการอดอาหารเพียงวันเดียว คงไม่อาจล้างพิษที่สะสมออกจากร่างกายได้หมด จึงต้องทำอย่างสม่ำเสมอเท่าที่เวลา และสุขภาพร่างกายจะอำนวย

27. สมูทตีเพิ่มความอ่อนเยาว์ให้ผิว

สมูทตีสูตรนี้ชื่อ Fountain of Youth ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น ผิวพรรณเปล่งปลั่งแข็งแรง เพราะมีส่วนผสมที่ให้วิตามินซี ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดอัตราการเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายและยังช่วยสร้างคลอลาเจน ทำให้ผิวไม่เหี่ยวย่น หรือมีริ้วรอยก่อนวัยอันสมควรส่วนผสม บลูเบอร์รี่แช่แข็ง 1 ถ้วย เชอร์รี่แช่แข็ง 1 ถ้วย น้ำแครนเบอร์รี่ 1 ส่วน 4 ถ้วย โยเกิร์ตไขมันต่ำรสสตรอว์เบอร์รี่ 1 ถ้วยวิธีทำ นำทุกอย่างใส่เครื่องปั่นพร้อมกันโดยไม่ต้องใส่น้ำแข็ง เพราะเราจะได้ความเย็นอยู่แล้วจากผลไม้ที่แช่แข็งไว้ ถ้าหาเชอร์รี่ไม่ได้ ก็ใช้สตรอว์เบอร์รี่แทนได้นะคะ

28. ผิวก็ต้องการไขมันเหมือนกัน

แม้คุณจะเกลียดไขมันเพราะกลัวอ้วนขนาดไหนก็ตาม ห้ามงดไขมันโดยสิ้นเชิงเด็ดขาด เพราะไขมันช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น อ่อนนุ่ม และยังช่วยลำเลียงวิตามินเอ ดี อี เค ไปทั่วร่างกายอีกด้วย ลองสังเกตดูคนที่ลดความอ้วนอย่างหนัก ผิวจะซีดเซียว แห้งกร้าน ดูแก่กว่าวัย แต่ไขมันก็ยังแบ่งเป็นไขมันดี กับไขมันไม่ดี ผิวของคุณต้องการไขมันดีค่ะ วันละ 15% ก็เพียงพอแล้วเลือก ไขมันดี (ไขมันไม่อิ่มตัว) จากปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน น้ำมันมะกอก น้ำมันงา น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันปลา น้ำมันเมล็ดฟักทอง ฯลฯเลี่ยง ไขมันไม่ดี (ไขมันอิ่มตัว) เช่น ไขมันสัตว์ เนยสด เนยแท้ ผลิตภัณฑ์จากนม หนังไก่ หนังหมู น้ำมันมะพร้าว กะทิ ฯลฯ

29. เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะกับตัวเอง

ช่วงอายุ 20 ถือว่าเป็นเวลาของผิวเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นช่วงที่การทำงานต่างๆ ของผิวเป็นระบบมากที่สุด อย่างการผลัดเซลล์ผิวที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกๆ 28 วัน ผิวในช่วงนี้เน้นเรื่องของความสะอาด รักษาความชุ่มชื่น และปกป้องผิวจากแสงแดด พอถึงช่วงอายุ 30 ผิวเริ่มแสดงความอ่อนแอ มีริ้วรอย ผลัดผิวได้ช้าลง เพราะผิวชั้นในเริ่มเสื่อม ดังนั้น โลชั่นและครีมบำรุงของผิววัย 30 ต้องเน้นที่ส่วนผสมช่วยลดเลือนริ้วรอย และสร้างคลอลาเจน และที่ขาดไม่ได้ต้องมีสารกันแดดค่ะ

30. เห็นแค่หลังก็ยังดูเด็กสาว

ช่างแต่งตัวสมัยนี้มีโอกาสโชว์ผิวมากเป็นพิเศษ ทั้งท่อนแขน หัวไหล่ แผ่นหลัง แต่ถ้าเกิดแผ่นหลังของคุณเป็นสิว หรือกระดำกระด่าง ไม่เนียนเรียบ แค่คิดก็หมดหวังแล้วค่ะ อยากให้หลังเรียบเนียนเพื่อการเผยผิวได้อย่างมั่นใจ เรามีเคล็ดลับมาฝาก
- หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว คือ เหงื่อและความอับชื้น เลือกสวมเสื้อผ้าที่โปร่งสบาย ระบายความร้อนได้ดี
- ลองสังเกตดู คุณชอบอาบน้ำก่อนสระผมหรือเปล่า ถ้าใช่ขอแนะนำให้เปลี่ยนพฤติกรรมนี้ด่วน เพราะในการสระผม เมื่อคุณใช้ครีมนวดผมแบบล้างออก ครีมนวดผมจะทิ้งคราบไว้บนหลังคุณ ทำให้รูขุมขนอุดตัน และเกิดสิวในที่สุด ดังนั้น ควรสระผมก่อน จากนั้นค่อยอาบน้ำเพื่อชำระคราบสกปรกบนร่างกาย และคราบแชมพู
-ครีมนวด บนหลังคุณให้หมดไป
- หลังอาบน้ำ อย่าลืมบำรุงผิวที่หลังด้วยโลชั่นที่มีคุณสมบัติช่วยปกป้องและลดเลือนริ้วรอย เพื่อคงผิวอ่อนเยาว์ให้อยู่คู่กับคุณตลลอดไปไงคะ

ขจัดขน...เพื่อความสวย


ครีมขจัดขน
ทาครีมบริเวณที่ต้องการขจัดขน ทิ้งไว้ห้านาที ครีมที่มีส่วนผสมของทีโอไกลโคลแอซิด จะสลายรูขุมขนบนผิวหนัง เมื่อล้างออกขนก็จะหลุดออกมา

ข้อดี
๐ วิธีนี้ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ เหมาะสำหรับการขจัดขนบริเวณ ขา แขน รักแร้ และบริเวณที่บอบบางมากๆ เช่น บริเวณที่สวมใส่บิกินี่

ข้อเสีย
๐ ผิวของผู้หญิงบางคนอาจแพ้ครีมขจัดขนที่มีค่า pH สูง (12.5) ก่อนใช้ให้ทดลองทาครีมบริเวณข้อพับแขนและทิ้งไว้ห้านาทีจึงล้างออก

ระยะเวลา
๐ หากครีมขจัดขน จะใช้เวลาประมาณ 10 วัน ขนจึงจะขึ้นใหม่

แว๊กซ์ร้อน
ใช้ความร้อนละลายแว๊กซ์ แล้วป้ายทาบริเวณที่ต้องการขจัดขน จากนั้นจึงค่อยๆดึงออกในลักษณะย้อนขึ้น ขนก็จะหลุดออกมาด้วย

ข้อดี
๐ วิธีนี้สามารถขจัดขนบริเวณที่ไม่ต้องการได้ดีและใช้เวลานานกว่าขนจะขึ้นใหม่
๐ ขนที่ขึ้นใหม่จะเบาบางลงเรื่อยๆ

ข้อเสีย
๐ การใช้แว๊กซ์อาจต้องทนเจ็บกันสักหน่อยเวลาดึง
๐ หลังการดึงแว๊กซ์ออก ผิวหนังจะแดง ให้ใช้โลชั่นที่มีส่วนผสมของอะโลเวร่าเพื่อป้องกันการอักเสบ

ระยะเวลา
๐ ใช้เวลา 6 สัปดาห์ขนจึงขึ้นใหม่

แว๊กซ์เย็น
ใช้แว๊กซ์เย็นที่เป็นแผ่นกดลงบริเวณที่ต้องการกำจัดขน จากนั้นดึงออกตามทิศตรงข้ามของขน

ข้อดี
๐ การใช้แว๊กซ์เย็นจะได้ผลดี กว่าขนจะขึ้นต้องใช้เวลานานพอสมควร
๐ แผ่นแว๊กซ์เย็นที่สามารถดึงออกได้ทันที
๐ เหมาะกับทุกบริเวณของร่างกาย โดยเฉพาะแนวบิกินี เพราะแผ่นแว๊กซ์ทำให้เป็นรูปตามตำแหน่งที่ต้องการได้

ข้อเสีย
๐ เวลาดึงออกต้องทนเจ็บ จะเหมือนกับการใช้แว๊กซ็รอ้น
๐ หลังการดึงแผ่นแว๊กซ์ อาจะทำให้ผิวหนังมีปัญหาตามมาได้ จึงควรใช้อาฟเตอร์เชฟ โลชั่น ทาผิวหนังจากการแว๊กซ์ขนแล้ว

ระยะเวลา
๐ ใช้เวลานานประมาณ 6 สัปดาห์ขนจึงจะเริ่มงอกขึ้นใหม่อีกครั้ง

เครื่องถอนขน
เครื่องถอนขนสามารถขจัดขนได้อย่างรวดเร็วทันใจ มีทั้งแบบขดลวดและแบบแผ่นโลหะ

ข้อดี
๐ กำจัดขนได้อย่างรวดเร็วและใช้ง่าย
๐ ขนที่ขึ้นใหม่จะน้อยลงและเส้นเล็กลง
๐ คุณสามารถที่จะพกพาเครื่องถอนขนนี้ไปใช้ในที่ไหนๆได้อย่างสะดวกสบาย

ข้อเสีย
๐ ใช้เวลานานกว่าใช้แว๊กซ์ร้อนและแว๊กซ์เย็น
๐ ถอนขนเส้นเล็กบางได้ไม่ทั่วถึง
๐ เจ็บจี๊ดเวลาถอน แต่ถ้าเป็นเครื่องถอนขนพิเศษที่ให้ความเย็นจะช่วยบรรเทาเจ็บได้

ระยะเวลา
๐ ใช้เวลาเป็นเดือนกว่าขนจะขึ้นใหม่

การโกนขน
ใช้โกนขนขณะอาบน้ำ (Lady-Shaver) ขณะอาบน้ำ
ข้อดี
๐ รวดเร็วและไม่เจ็บ
๐ ผิวแทบไม่แสบคันเลย
๐ ขนที่ขึ้นใหม่จะแข็งและหนากว่าเดิม
๐ วีธีนี้ไม่เจ็บมากนัก แต่ขนจะงอกขึ้นใหม่ได้ภายในเวลาสองหรือสามวัน

ขจัดขนด้วยเลเซอร์
รากขนจะถูกทำลายด้วยเลเซอร์ ภายในหนึ่งนาทีสามารถขจัดขนได้ประมาณ 60 เส้น แต่ต้องใช้เวลาทำ 3 - 6 ครั้ง แล้วขนจะไม่ขึ้นอีกเลย

กระชับบั้นท้าย

ท่าที่จัดการได้ :: ท่าเก้าอี้

ยืนแยกขาห่างเท่าความกว้างของช่วงสะโพก นิ้วเท้าชี้ไปข้างหน้า วางมือไว้ที่สะโพก

1. ขณะหายใจออก ค่อยๆงอเข่าให้มากที่สุด แต่อย่าต่ำเกิน 90 องศา ส่วนต้นขาขนานกับพื้น เหยียดแขนไปข้างหน้า

2. คุณควรทิ้งน้ำหนักลงที่ส้นเท้า และก็สามารถขยับนิ้วเท้าได้สะดวก แขม่วพุง หย่อนก้นลงหลังจะได้ไม่ตึง ค้างไว้ 30 วินาที ขณะหายใจออก แล้วดันตัวขึ้นสู่ท่าเริ่มตอนหายใจเข้า จากนั้นก็พักทำวันละห้าครั้ง แล้วจะเห็นผลภายในหนึ่งเดือน

tips ::การว่ายน้ำช่วยกระชับสะโพกโดยเฉพาะการเตะน้ำขณะเกาะกระดานช่วยพยุงตัว เหยียดขาออกไปข้างหลังตรงๆและตีน้ำขึ้นลงในท่ากรรเชียง 20 นาที

8 วิธีสวยด้วยน้ำผึ้ง

1. น้ำผึ้งช่วยปรับสมดุลของร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ใครที่มีปัญหาปวดข้อ ปวดกระดูก เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือแม้กระทั่งโรคอ้วน ก็สามารถดื่มน้ำผึ้ง เพื่อช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้

วิธีคือ นำน้ำผึ้ง 3 ช้อนผสมกับน้ำส้มสายชูหมักแอ๊ปเปิ้ล (หรือ Apple Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอนและระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น

2. หน้าแห้งแตกเป็นขุย สาวที่มีผิวหน้าแห้งกร้านเหมือนอีสานแล้ง ควรทำเป็นอย่างยิ่ง นำไข่แดง 1 ฟอง และน้ำผึ้ง 1ช้อนผสมให้เข้ากัน พอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

3. น้ำผึ้งสยบสิ้วเสี้ยนบนใบหน้า หลังล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น เช็ดหน้าให้แห้ง จากนั้นนำกล้วยหอมครึ่งลูก บดผสมกับน้ำผึ้ง นำมาทาบนใบหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งมีเอนโซม์ที่ทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นนุ่มนวลขึ้น และยังบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ด้วย

4. ผมหยาบกระด้างเกินเยียวยา ต้องลองสูตรนี้ หลังสระผมเสร็จ นำน้ำผึ้งผสมกับน้ำมันมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ ชโลมผมแล้วทิ้งไว้ 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามดุจเส้นไหม

5. ใครที่นอนไม่หลับ ฟังทางนี้ด่วน ผสมน้ำผึ้งกับน้ำอุ่น หรือนมร้อนดื่มก่อนนอน จะช่วยให้คุณหลับสบายขึ้น

6. สครับหน้าแบบง่าย ๆ เพียงนำน้ำผึ้งผสมกับแอ๊ปเปิ้ลมาปั่นรวมกัน ทาให้ทั่วใบหน้า พร้อมกับนวดเบา ๆ ความหยาบของแอ๊ปเปิ้ลจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าให้ออกไปให้ผิวหน้าสดใสเปล่งปลั่งขึ้น

7. สูตรไล่ตีนกาออกจากหน้า นำแครอท 1 หัวเล็กมาปอกเปลือกและปั่นให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้ง และนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 5-10 นาที ริ้วรอยตีนเป็ดตีนกาทั้งหลายจะค่อย ๆ โบยบินออกจากหน้าของคุณในเร็ววัน

8. เสียงใสเหมือนระฆังเงิน หากใครเกิดอาการเจ็บคอ รู้สึกคอแห้งเสียงแหบร้องราคาโอเกะไม่สนุกละก็ เพียงผสมน้ำมะนาว 1 ลูก + น้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะ + น้ำเดือด 2 ช้อนโต๊ะ จิบบ่อย ๆ แก้เจ็บคอ แต่หากกินไม่หมดก็นำมาทาหน้าได้ด้วย ทาทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผิวหน้าจะขาวใสและเต่งตึงขึ้นทันตาเห็น

6 วิธีดูแลผิวให้นุ่มเนียนและกระชับ

เรามาลองวิธีที่ทำให้ สวย เด้ง ตึง ได้ทุกสัดส่วนง่ายๆ ดังนี้

1. ลอก การลอกผิวจะกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว และยังช่วยสลายไขมัน คุณสามารถจะลอกผิวได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง โดยนำเกลือทะเลผสมน้ำมันมะกอกมานวดขัดผิว โดยเฉพาะบริเวณผิวที่มีเซลลูไลต์ จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด

2. ขัด การขัดผิวเบาๆ โดยใช้แปรงนุ่มๆ หรือใยบวบที่แช่น้ำให้นิ่ม จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตให้ทำงานอย่างสม่ำเสมอทั่วถึง และยังช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกได้หมดจด เวลาที่เหมาะที่สุดในการขัด คือขณะฟอกสบู่ อาบน้ำ

3. ห่อ หมั่นนำพลาสติกใสๆ บางๆ มาพันต้นขาให้กระชับเพรียวสวย โดยเริ่มจากลงไปแช่น้ำอุ่น จากนั้นเช็ดตัวให้แห้ง นำผ้าขนหนูจุ่มน้ำร้อนที่ผสมน้ำมันหอม (กลิ่นมะนาวหรือโรสแมรี่) บิดให้แห้งพอหมาดแล้วนำมาพันต้นขา จากนั้นจึงพันด้วยแผ่นฟิล์มแล้วทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง

4. ดัน เป็นการบริหารที่ควรทำทุกวันเพื่อให้ช่วงอกสวย ประกบฝ่ามือทั้งสองไว้กลางหว่างอก (เหมือนการไหว้) เกร็งและดันฝ่ามือทั้งสองซึ่งกันและกัน ค้างไว้ 10 นาที แล้วทำซ้ำ 5 ครั้ง

5. กลิ้ง การนวดโดยใช้ลูกกลิ้ง กลิ้งไปบนผิว จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตมาเลี้ยงผิวได้ดีขึ้น ทั้งนี้ควรจะนวดหมุนเป็นวงกลม เริ่มจากขา แขน แล้วปิดท้ายด้วยบริเวณ ช่วงลำตัว

6. ดึง ใครที่มีไขมันสะสมใต้ผิวหนังตรงสะโพก หรือแก้มก้นมากเกินไป อาจลดได้ด้วยวิธีใช้นิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือดึงผิวหนังให้ทั่วทั้งบริเวณสะโพก หมั่นทำเป็นประจำ วันละ 10 นาที ผิวแตกลายจะจางลง

โรคจิตเภท


โรคจิตเภทเป็นโรคทางจิตเรื้อรังซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ ความคิด[thinking} ความรู้สึก{feeling} และพฤติกรรม[behavior]

สาเหตุ
เป็นโรคทางพันธุกรรมทำให้มีการพัฒนาของระบบประสาทผิดปกติ เมื่อมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมก็เกิดโรคนี้ ได้แก่

การที่เกิดขาดออกซิเจนในระหว่างการคลอด
มารดาเป็นไข้ในตั้งครรภ์ไตรมาสที่2
มารดาเป็นไข้หวัดใหญ่ในขณะตั้งครรภ์


อาการแสดง
อาการแสดงจะแบ่งเป็นสองระยะได้แก่


1. อาการนำก่อนป่วย[prodome] อาการนำก่อนป่วยในผู้ป่วยแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาการชัด บางคนอาการไม่ชัด อาการนำมักจะเกิดขณะวัยเรียน อาการนำอาจจะมีอาการเป็นเดือนก่อนเกิดปรากฏอาการทางจิต


แยกตัวเล่น ไม่ยุ่งกับใคร
แปลกประหลาด ไม่สามารถปฏิบัติตนให้สมบทบาทได้ เช่นบทบาทของการเป็นเพื่อน ลูก
ไม่ดูแลตัวเอง เช่นไม่อาบน้ำหรือหวีผม
บุคลิกเปลี่ยนจนเพื่อนสังเกตเห็น
มีความคิดแปลกๆ
ห่วงใยรูปร่างหน้าตา ชอบดูกระจก กลัวผิดปกติ
มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม

2. อาการทางจิต
ผู้ป่วยแต่ละรายจะมีอาการแตกต่างกันได้มาก แม้แต่ผู้ป่วยคนเดียวกัน ต่างเวลาอาการของเขาก็อาจจะแตกต่างกันอาการที่ทำให้ผู้ป่วยพบแพทย์


อาการทางจิต ผู้ป่วยจะมีอาการ
:ประสาทหลอน เช่น หูแว่ว ตาฝาด
:ระแวง กลัวคนทำร้าย คิดว่ามีคนสะกดรอยตามปองร้าย แปลความหมายเหตุการณ์รอบตัวผิดจากความเป็นจริง เช่นเพื่อนลูปหน้าแปลว่าหน้าด้านไม่รู้จักอาย
:อาละวาด ทำลายข้าวของ
:พยายามฆ่าตัวตาย หรือทำร้ายผู้อื่น

ความสามารถในการดำเนินชีวิตเสื่อมลง
:การเรียนเลวลง หรือเรียนไม่ได้
:การงานบกพร่อง ทำงานไม่ได้เท่าที่เคยทำ เกียจคร้าน
:ความสัมพันธ์กับบุคลอื่นไม่ราบรื่น เข้ากับคนอื่นไม่ได้ ระแวง คิดแปลเจตนาของผู้อื่นในทางลบ หงุดหงิด
:ไม่ใส่ใจดูแลตัวเอง ไม่อาบน้ำ ไม่แต่งตัวให้เรียบร้อย ไม่หวีผม ห้องนอนสกปรก


ผู้ป่วยบางรายมาหลังจาก
ดื่มเหล้ามาก ใช้สารเสพติด การป่วยทางกาย


ลักษณะทั่วไป
ผู้ป่วยจะมีกริยาท่าทางประหลาด แต่งตัวไม่เรียบร้อย สกปรก มีกลิ่นเหมือนไม่อาบน้ำแปรงฟัน การเคลื่อนไหว บางคนหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว เคลื่อนไหวน้อย หรือไม่อยู่นิ่ง ลุกลน
พฤติกรรมทางสังคม เก็บตัว แยกตัว หรือวุ่นวายเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ควร
การพูดมีหลายแบบ พูดจาได้ความดี พูดไม่รู้เรื่อง พูดน้อย หรือไม่พูดเลย
อารมณ์ บางคนสีหน้าราบเรียบ ไม่แสดงอารมณ์อะไร บางรายสีหน้าไม่สอดคล้องกับเรื่องราวที่พูด และบางรายสีหน้าปกติ


ความคิด Though
ผู้ป่วยบางรายไม่มีความคิดออกมาเลย บางรายมีความคิดหลั่งไหลออกมารวดเร็วและบางคนคิดเหมือนคนปกติ ความคิดมักจะไม่ต่อเนื่อง เปลี่ยนเรื่องก่อนที่เรื่องกำลังกล่าวจะจบ มีอาการหลงผิด เช่นหวาดระแวงว่าคนจะทำร้าย หูแว่ว ตาฝาด และประสาทหลอน และมักจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสารทั้งการรับและการส่ง เช่นโกรธอย่างรุนแรงโดยไม่มีเหตุผลหรือเฉยไม่ตอบสนองเมื่อมีคนพูดด้วย


การดำเนินของโรค
ผู้ป่วยจะเริ่มด้วยอาการนำ แล้วตามมาด้วยอาการของโรคอาจจะเกิดแบบเฉียบพลัน หรือค่อยเป็นค่อยไป อาการสงบลงสลับกับกำเริบขึ้นอีกเป็นครั้งคราว ผ่านไปหลายปีอาจจะมีอาการหลงเหลืออยู่เช่นเดียวกับอาการนำ


การวินิจฉัย
การวินิจฉัยโดยอาการเป็นสำคัญ ผู้ป่วยมีลักษณะดังต่อไปนี้
มีพฤติกรรมที่ผิดปกติ
ป่วยเรื้อรัง
ความสามารถในการดำรงชีวิตเสื่อมถอย เช่น ทำงานไม่ได้ พึ่งตนเองไม่ได้
เมื่อป่วยแล้วไม่หายเป็นปกติเหมือนก่อนป่วย


ต้องวินิจฉัยแยกโรคต่อไปนี้
Bipolar disorder โรคนี้เวลาหายจะเหมือนคนปกติ การป่วยบางครั้งเป็น
โรคจิตเพราะพิษสุรา หรือสารเสพติด เช่น ยาบ้า กัญชา ยาลดความอ้วน
โรคทางกาย เช่น SLE โรคลมชัก โรคเนื้องอกในสมอง


การรักษา ทำได้ 3 ทางด้วยกัน
1. รักษาอาการให้หาย
เป็นการใช้ยาในการรักษายาที่ใช้ได้แก่
Haloperidol
Resperidone
Clozapine


2. ป้องกันมิให้กลับเป็นซ้ำ หากกินยาสม่ำเสมอการกำเริบจะน้อย สาเหตุที่กำเริบคือการถูกตำหนิติเตียนเป็นประจำ การป้องกันไม่ให้โรคกำเริบคือ
กินยาอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์สั่ง
อย่าบ่นว่า ตำหนิ วิจารณ์ซ้ำซาก


สิ่งที่สำคัญในการรักษาคือผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะมีแนวโน้มในการฆ่าตัวเองสูง ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวเองสูงมีลักษณะดังต่อไปนี้
ญาติและผู้ป่วยคาดในความสำเร็จสูง
ปรับตัวรับสภาพโรคจิตไม่ได้
ช่วงเวลาที่ต้องระวังในการฆ่าตัวเองคือ ขณะที่รักษาอยู่ในโรงพยาบาล ระยะ 6 เดือนหลังออกจากโรงพยาบาล มีการสูญเสีย เช่นหย่า ตกงาน เปลี่ยนแพทย์ผู้รักษา
อาการดีขึ้นหลังจากป่วยหนักและรู้ว่าตัวเองเป็นโรคจิต


สัญญาณบ่งบอกว่าจะฆ่าตัวตาย
ผู้ป่วยมีความคิดฆ่าตัวเอง
มีความมั่นใจในตัวเองต่ำ
มีแรงกดดันผู้ป่วยมากได้แก่ ขาดที่พึ่ง ตกงาน ญาติโกรธ ถูกไล่ออกจากบ้าน
อาการกำเริบ หูแว่ว หวาดกลัว รู้สึกมีคนปองร้าย
หมอโกรธ


3. ฟื้นฟูจิตใจและฝึกอาชีพ เนื่องจากผู้ป่วยพลาดการเล่าเรียน และการเรียนรู้ชีวิต การต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรค ทางครอบครัวและผู้รักษาต้องประคับประคองให้เขาเรียนรู้วิธีแก้ปัญหา และการฝึกอาชีพ

โรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้าเป็นการป่วยทั้งร่างกาย จิตใจและความคิด ซึ่งผลของโรคกระทบต่อชีวิตประจำวันเช่นการรับประทานอาหาร การหลับนอน ความรับรู้ตัวเอง ผู้ป่วยไม่สามารถประสานความคิด ความรู้สึกของตัวเพื่อแก้ปัญหา หากไม่รักษาอาการอาจจะอยู่เป็นเดือน

โรคซึมเศร้ามีกี่ชนิด

Major depression ผู้ป่วยจะมีอาการ(ดังอาการข้างล่าง)ซึ่งจะรบกวนการทำงาน การรับประทานอาหาร การนอน การเรียน การทำงาน และอารมสุนทรีย์ อาการดังกล่าวจะเกิดเป็นครั้งๆแล้วหายไปแต่สามารถเกิดได้บ่อยๆ
dysthymia เป็นภาวะที่รุนแรงและเป็นเรื้อรังซึ่งจะทำให้คนสูญเสียความสามารถในการทำงานและความรู้สึกที่ดี
bipolar disorder หรือที่เรียกว่า manic-depressive illness ผู้ป่วยจะมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ซึ่งบางคนอาจจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่วนมากจะค่อยเป็นค่อยไป เวลาซึมเศร้าจะมีอาการมากบ้างน้อยบ้าง แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นช่วงอารมณ์ mania ผู้ป่วยจะพูดมาก กระฉับกระเฉงมากเกินกว่าเหตุ มีพลังงานเหลือเฟือ ในช่วง mania จะมีผลกระทบต่อความคิด การตัดสินใจและพฤติกรรมผู้ป่วยอาจจะหลงผิด หากไม่รักษาภาวะนี้อาจจะกลายเป็นโรคจิต


อาการของโรคซึมเศร้า
ผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้าอาจจะไม่จำเป็นต้องมีอาการทุกอย่างบางคนก็มีบางอย่างเท่านั้น


อาการซึมเศร้า depression
1. การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ได้แก่
รู้สึกซึมเศร้า กังวล อยู่ตลอดเวลา
หงุดหงิดฉุนเฉียว โกรธง่าย
อยู่ไม่สุข กระวนกระวาย


2. การเปลี่ยนแปลงทางความคิด
รู้สึกสิ้นหวัง มองโลกในแง่ร้าย
รู้สึกผิด รู้สึกตัวเองไร้ค่า ไม่มีทางเยียวยา
มีความคิดจะทำร้ายตัวเอง คิดถึงความตาย พยายามทำร้ายตัวเอง

3. การเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้หรือการทำงาน
ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ความสนุก งานอดิเรก หรือกิจกรรมที่เพิ่มความสนุกรวมทั้งกิจกรรมทางเพศ
รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีพลังงาน การทำงานช้าลง การงานแย่ลง
ไม่มีสมาธิ ความจำเสื่อม การตัดสินใจแย่ลง

4. การเปลี่ยนปลงทางพฤติกรรม
นอนไม่หลับ ตื่นเร็ว หรือบางรายหลับมากเกินไป
บางคนเบื่ออาหารทำให้น้ำหนักลด บางคนรับประทานอาหารมากทำให้น้ำหนักเพิ่ม
มีอาการทางกายรักษาด้วยยาธรรมดาไม่หายเช่น อาการปวดศีรษะ แน่นท้อง ปวดเรื้อรัง
ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นแย่ลง


อาการ Mania

มีอาการร่าเริงเกินเหตุ
หงุดหงิดง่าย
นอนน้อยลง
หลงผิดคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองใหญ่
พูดมาก
มีความคิดชอบแข่งขัน
ความต้องการทางเพศเพิ่ม
มีพลังงานมาก
ตัดสินใจไม่ดี
มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป


สาเหตุของโรคซึมเศร้า
1. พันธุ์กรรม พบว่าโรคซึมเศร้าชนิด bipolar disorder มักจะเป็นในครอบครัวและต้องมีสิ่งที่กระตุ้น เช่นความเครียด
2. มีการเปลี่ยนแปลงการทำงานของสมองหรือสารเคมีในสมองการเปลี่ยนแปลงของสมดุลของสารเคมี ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทในสมอง มีผลต่ออารมณ์ซึมเศร้าของคน (โดยเฉพาะสารสีโรโทนิน นอร์เอปิเนพริม และโดปามีน)
3. ผู้ที่มองโลกในแง่ร้าย ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
4. โรคทางกายก็สามารถทำให้เกิดโรคซึมเศร้า เช่นโรคหัวใจ อัมพาต ทำให้ผู้ป่วยมาสนใจดูแลตัวเองโรคจะหายช้า
5. มีการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในเลือด เช่นวัยทอง หรือหลังคลอดก็สามารถทำให้เกิดอาการซึมเศร้า
6. ความเครียดที่เกิดจากสาเหตุต่างเช่น การสูญเสีย การเงิน การงาน ปัญหาในครอบครัวก็สามารถเป็นเหตุให้เกิดโรงซึมเศร้า
7. ผู้ที่เก็บกดไม่สามารถแสดงอารมณ์ออมา เช่นดีใจ เสียใจหรืออารมณ์โกรธ
8. ผู้ที่ด้อยทักษะต้องพึ่งพาผู้อื่น


โรคซึมเศร้าในผู้หญิง
ผู้หญิงจะเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าผู้ชาย 2 เท่าเชื่อว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเช่น การมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ การแท้ง ภาวะหลังคลอด วัยทอง เป็นต้น นอกจากนั้นยังอาจจะเกิดจากความเครียดที่ต้องรับผิดชอบทั้งในบ้านและงานนอกบ้าน การรักษาให้ญาติเข้าใจภาวะของผู้ป่วยและให้กำลังใจแก่ผู้ป่วย


โรคซึมเศร้าในผู้ชาย
แม้ว่าโรคซึมเศร้าในผู้ชายจะพบน้อยกว่าผู้หญิงแต่อัตราการฆ่าตัวตายจะสูงกว่าผู้หญิง โรคซึมเศร้าในผู้ชายจะเกิดโรคทางกายพบว่าอัตราการเกิดโรคหัวใจจะสูงมาก ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้ามักจะใช้ยาเสพติดและสุราเป็นตัวแก้ไข บางคนก็มุ่งทำงานหนัก ผู้ป่วยจะไม่มีความรู้สึกสิ้นหวังหรือท้อแท้แต่จะหงุดหงิดง่าย โกรธง่าย ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะวินิจฉัยโรคนี้ แม้ว่าจะรู้ว่าเป็นโรคซึมเศร้าผู้ป่วยก็มักจะปฏิเสธการรักษา

โรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าโรคซึมเศร้าเป็นภาวะปกติของผู้สูงอายุ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมาด้วยอาการทางกาย นอกจากนั้นอาการต่างๆอาจจะเกิดจากผลข้างเคียงของยาที่ใช้รักษาโรค หากสามารถวิเคราะห์ว่าเป็นโรคซึมเศร้าจริงและให้การรักษาจะทำให้ผู้สูงอายุมีความสุข


โรคซึมเศร้าในเด็ก
เด็กๆก็เป็นโรคซึมเศร้าเหมือนกับผู้ใหญ่โดยจะมีอาการ แกล้งป่าย ไม่ไปโรงเรียน ติดพ่อแม่ กังวลว่าพ่อแม่จะเสียชีวิต ส่วนเด็กโตจะนิ่งไม่พูด มีปัญหาที่โรงเรียน มองโลกในแง่ร้าย แต่เนื่องจากพฤติกรรมของเด็กมีความผันผวนดังนั้นการวินิจฉัยจึงยาก หากพ่อแม่หรือคุณครูพบว่าพฤติกรรมของเด็กเปลี่ยนไป กุมารแพทย์จะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาการรักษา


การวินิจฉัย
แพทย์ทั่วไปจะตรวจร่างกายเพื่อจะหาสาเหตุทางกาย เช่นโรคติดเชื้อไวรัส หรือยาที่ผู้ป่วยรับประทาน ประวัติการดื่มสุรา ยาเสพติด ความคิดที่จะฆ่าตัวตาย หากสงสัยว่าจะเป็นโรคซึมเศร้าจิตแพทย์ก็จะประเมินสภาวะจิตใจของผู้ป่วย


การรักษา
1. การช้อคไฟฟ้า Electroconvulsive therapy (ECT) เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นรุนแรง หรือผู้ที่ไม่สามารถรับประทานยา๖นโทมนัส หรือใช้ยาแล้วไม่ได้ผล
2. การใช้ยาต้านโทมนัส ยาที่ใช้รักษามีด้วยกันหลายกลุ่มได้แก่
selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs)
tricyclics
monoamine oxidase inhibitors (MAOIs) ผู้ที่รับประทานยากลุ่มนี้จะต้องระวังอาหารที่มีส่วนผสมของ tyramine ซึ่งจะทำให้ความดันโลหิตขึ้นสูง อาหารดังกล่าวได้แก่ cheeses, wines, pickles, ยาลดน้ำมูก


แพทย์อาจจะเลือกใช้ยาตัวใดตัวหนึ่งหรือใช้ยาหลายชนิดรวมกัน โดยมากจะเริ่มเห็นผลใน 2-3 สัปดาห์และให้รับประทานต่อไปประมาณ 1 เดือนยาจะออกฤทธิ์เต็มที่เมื่อรับยาไปแล้ว 8 สัปดาห์ ช่วงแรกของการรับประทานยาอาจจะเกิดผลข้างเคียงของยาก่อนจะเห็นผลดีให้รับประทานต่อ เมื่ออาการดีขึ้นอย่าเพิ่งหยุดยาจนกระทั่งไปทำงานได้โดยจะต้องรับประทาน 4-9 เดือน โดยแพทย์จะค่อยๆหยุดยาเพื่อให้ร่างกายปรับตัว

ผลข้างเคียงของยา
ผลข้างเคียงพบได้ไม่รุนแรงหายเองได้ แต่หากเกิดผลข้างเคียงที่รบกวนคุณภาพชีวิตให้ปรึกษาแพทย์ ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยคือ
ปากแห้ง แก้โดยการเคี้ยวหมากฝรั่งหรือดื่มน้ำมากๆ
ท้องผูก แก้โดยการรับประทานผลไม้ให้มาก
ปัสสาวะไม่พุ่งหรือปัสสาวะลำบาก
ตามัว
เวียนศีรษะ
ง่วงนอน


ผลข้างเคียงของยากลุ่มใหม่
ปวดศีรษะ อาการนี้จะหายไปเอง
คลื่นไส้อาเจียนซึ่งเป็นชั่วคราว
นอนไม่หลับและหงุดหงิด
ปัญหาทางเพศสัมพันธ์
กระวนกระวาย


การดูแลตัวเอง
ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้ามักจะท้อถอย สิ้นหวัง ไม่มีค่า ทำให้ผู้ป่วยยอมแพ้ โปรดจำไว้ว่าความรู้สึกและความจริงไม่เหมือนกัน
1. ให้ดำเนินชีวิตตามตารางงาน
2. รับประทานยาตามแพทย์สั่ง
3. ให้ค่อยๆเพิ่มรับผิดชอบงานที่ได้รับ
4. ตั้งเป้าหมายให้สามารถทำได้ อย่าให้เกินความสามารถของตัวเอง
5. อย่าทำงานใหญ่เกินตัว แบ่งงานเป็นโครงการเล็กๆ ให้จัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของงาน
6. ให้มีสังคมกับผู้อื่นเพราะการอยู่คนเดียวจะทำให้อาการเป็นมากขึ้น
7. ให้มีกิจกรรมที่ชอบเช่น การเล่นกีฬา ดูหนัง ฟังเพลง อารมณ์จะค่อยๆดีขึ้นอย่างช้าๆหลังการรักษา
8. หากจะต้องมีการตัดสินใจสำคัญ เช่น การแต่งงาน การเปลี่ยนงาน ให้เลื่อนไปก่อนจนกระทั่งอาการซึมเศร้าดีขึ้น
9. นอนพักอย่างเพียงพอ รับประทานอาหารที่มีคุณภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
10. ก่อนรับประทานยาใหญ่ให้ปรึกษากับแพทย์ถึงผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น


ลองตรวจสอบตัวท่านหรือคนใกล้เคียงว่ามีใครเป็นโรคซึมเศร้าบ้าง ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ท่าน
รู้สึกกลุ้มใจ ซึมเศร้า ทุกๆ วัน หรือทั้งวัน หรือไม่


รู้สึกเบื่อทุกๆ สิ่งหรือไม่
เบื่ออาหารหรือไม่
มีปัญหาในการนอนหลับหรือไม่
รู้สึกกระวนกระวาย (หรือซึมๆ เนือยๆ) หรือไม่
รู้สึกเพลีย เหนื่อยง่าย หรือไม่
รู้สึกผิด ไร้ค่า ไร้ความสามารถ หรือไม่
รู้สึกใจลอย ไม่มีสมาธิ หรือไม่
รู้สึกเบื่อชีวิต คิดอยากฆ่าตัวตาย หรือไม่

ถ้าท่านมีอารมณ์เศร้า เบื่อทุกๆ อย่าง นานกว่า 2 สัปดาห์ และมีอาการต่อไปนี้อีกอย่างน้อย 4 ข้อ ท่านอาจเป็นโรคซึมเศร้า

เบื่ออาหาร ผอมลง
นอนไม่หลับ
กระวนกระวาย หรือซึมๆ เนือยๆ
อ่อนเพลียง่าย
รู้สึกผิด ไร้ค่า
ขาดสมาธิ
คิดอยากตาย

โรคซึมเศร้าเป็นการเจ็บป่วยของจิตใจ ผู้ป่วยร้อยละ 70-80 รักษาได้ด้วยยาแก้ซึมเศร้า หากท่านหรือญาติพี่น้องหรือเพื่อนร่วมงานของท่านมีอาการซึมเศร้า โปรดติดต่อแพทย์ของท่านหรือผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวช


วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2552

โรควูบ ( Fainting) และหมดสติ ( Syncope) ภัยใกล้ตัวเรา


โรควูบ คือ อาการลมเกือบหมดสติ หรือบางรายหมดสติไป ( Syncope) เป็น ภาวะที่พบได้บ่อย สาเหตุของการเป็นลมเกือบหมดสติหรือหมดสติ มี ได้หลายสาเหต ุมากมาย หนึ่งในสาเหตุเหล่านั้น อาจเกิดจากความผิดปกติทางหัวใจได้ ผู้ป่วยที่มีประสบการณ์กับตนเอง รวมถึงคนใกล้ชิดผู้ป่วยจะเกิดความวิตกกังวล สูญเสียความมั่นใจ เนื่องจากไม่แน่ใจว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดจะเป็นลมหมดสติอีกเมื่อไหร่ ถ้าเกิดขณะ ขับรถ ข้ามถนน หรือขณะเล่นกีฬา จะทำอย่างไร จะฟื้นหรือไม่ จะดูแลในเบื้องต้นอย่าง ไร เรามาทำความรู้จักอาการวูบ หรือหมดสติกันดีกว่าการเป็นลมหมดสติ เกิดขึ้นเมื่อสมองขาดเลือดไปเลี้ยงในระดับรุนแรง ทำให้ศูนย์ควบคุมความรู้สึกตัวเสียการทำงาน ไป

สาเหตุที่สำคัญ คือ
1. ภาวะตกใจหรือเสียใจรุนแรง
2. ไอหรือจามแรงมากเกินไป
3. ขณะยืนถ่ายปัสสาวะ หรือหลังถ่ายปัสสาวะ หลังจากที่กลั้นมานาน
4. ออกกำลังกายมากเกินไป
5. หลังอาหารมื้อหนัก
6. เส้นประสาทสมองที่ 5,9 อักเสบ
7. เป็นโรคสมองเสื่อมหรือสมองฝ่อ
8. โรคพาร์คินสันบางราย ที่มีระบบประสาทอัตโนมัติผิดปกติร่วมอยู่ด้วย
9. โรคเบาหวาน ในรายที่เส้นประสาทโดนทำลายจากเบาหวาน
10. จากยาบางชนิดเช่น รับประทานยาลดความดันมากเกินไป
11. ดื่มสุรามากเกินไป
12. จุดกำเนิดไฟฟ้าของหัวใจเสื่อมสภาพ
13. เสียเลือดมาก หรือเสียน้ำออกจากร่ายกายมากเกินไป เช่น ท้องร่วงรุนแรง อาเจียนรุนแรง
14. มีการกระตุ้นในระบบทางเดินอาหาร เช่น ล้วงคอ อาเจียน เบ่งถ่ายอุจจาระ ปวดท้องรุนแรง
15. ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างรุนแรง
16. ระบบทางเดินไฟฟ้าในหัวใจเสื่อมสภาพหรือผิดปกติ
17. สาเหตุจากการเสียสมดุลของระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมหัวใจและหลอดเลือด
18. ภาวะเสียเลือดจากหัวใจอุดตัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง
19. โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ
20. เนื้องอกในห้องหัวใจ
21. ลิ้นหัวใจตีบรุนแรง
22. ภาวะที่มีน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจมากและมีการกดการทำงานของหัวใจ
23. ภาวะเสียเลือดใหญ่ที่ออกจากหัวใจแตก หรือมีการฉีกขาดรุนแรง
24. มีลิ่มเลือดใหญ่ไปอุดตันเส้นเลือดในปอด
25. ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงมากเกินไป

ควรปฏิบัติตัวอย่างไร เมื่อกำลังจะเป็นลมหมดสติ
บาง คนก่อนจะเป็นลมหมดสติ จะมีอาการเตือนนำมาก่อน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน มวนท้อง อยากถ่าย เหงื่อแตก ตัวเย็น ถ้าเป็นจากโรคหัวใจ อาจมีใจสั่นนำมาก่อน หรืออาจไม่มีอาการเตือนเลยก็ได้ ขณะหมดสติอาจมีอาการเกร็ง กระตุกได้ ให้รีบล้มตัวลงนอนทันที เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น และลดการเกิดการบาดเจ็บ ถ้าขับรถอยู่ ควรจอดทันที แล้วปรับที่นั่งให้อยู่ในท่านอนราบถ้าอยู่ในรถโดยสารควรหาที่นั่ง/นอนในรถ แจ้งคนรอบข้างว่ากำลังจะเป็นลม ไม่ควรรีบลงจากรถ เพราะอาจหมดสติตรงทางลงทำให้เกิดอันตรายได้

เครียดลงกระเพาะ โรคฮิตของคนออฟฟิต


สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนในยุคนี้ ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร (โดยเฉพาะคนทำงานออฟฟิสซึ่งมักจะทำงานแข่งกับเวลา และทานอาหารไม่เป็นเวลา) กันมากขึ้น เกิดจากความเครียดที่สะสมในแต่ละวันนั่นเอง

เครียดที่ใจ ทำไมเป็แผลที่กระเพาะ

แพทย์หญิงเพ็ญแข แดงสุวรรณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคกระเพาะอาหาร กล่าวว่าความเครียดเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อาการโรคกระเพาะอาหารกำเริบ เพราะในขณะที่เราเครียด ระบบประสาทอัตโนมัติ จะไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้หลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนออกมา ในปริมาณมากกว่าปกติ ส่งผลให้ร่างกายมีการตื่นตัวตลอดเวลา และก็เป็นความเครียดอีกเช่นกัน ที่กระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งน้ำย่อยออกมามากกว่าปกติ จนเกิดอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร และลำไส้มีอาการหดตัวมากกว่าปกติ ซึ่งจะสร้างความเจ็บปวด รวมถึงทำให้ทรมานให้กับผู้ป่วยเป็นอย่างมาก

สังเกตความเครียด ก่อโรค

ในขณะที่เราเครียด ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น ปอดขยายตัวเพิ่มขึ้นสร้างออกซิเจนเข้าสู่กล้ามเนื้อและหัวใจ เราจึงหายใจเร็วขึ้น และรูจมูกขยาย เพื่อให้ช่องทางเดินหายใจกว้างขึ้น ต่อมเหงื่อทำงานหนักขึ้นเพื่อบรรเทาความร้อนในกล้ามเนื้อ ทำให้เส้นเลือดฝอยในชั้นใต้ผิวหนังหดตัว เกิดอาการขนลุก ต่อมไทรอยด์จะหลั่งฮอร์โมนเร่งปฏิกิริยาการเผาผลาญอาหารออกมามากขึ้น เพื่อเพิ่มพลังงาน การกระตุ้นอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ อาจนำไปสู่ปัญหาการนอนไม่หลับและอยากอาหารเพิ่มขึ้น

ความเครียดยังทำให้หัวใจเต้นแรงผิดปกติ หายใจถี่ขึ้น กล้ามเนื้อมีอาการเกร็ง ปากแห้ง และยิ่งไปกว่านั้น ความเครียดยังทำให้การทำงานของกระเพาะอาหาร และลำไส้หยุดชะงักลง เพื่อถนอมพลังงานสงผลให้ กรดในกระเพาะอาหารเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดอาหารปั่นป่วนในช่องท้อง และรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน

นอกจากพฤติกรรมทางกายที่กล่าวมาแล้ว จิตใจก็มีส่วนสำคัญมากต่อการเกิดโรคกระเพาะอาหารผู้ที่สะสมความเครียดมานานเป็นเดือนเป็นปีจะยิ่งมีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น ซึ่งเราสามารถสังเกตตัวเองได้ว่าเราเข้าข่ายเครียดจนใกล้จะเป็นโรคกระเพาะอาหารหรือยัง

หากรู้สึกเบื่ออาหาร กินไม่ได้ มีอาการมึนงง หงุดหงิด รำคาญใจอยู่บ่อยๆ อยากอยู่คนเดียว นอนไม่หลับ ท้องผูก ให้รู้ไว้เลยว่า คุณกำลังมีอาการเครียด ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า มีโอกาสป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารในเร็ววัน

อาการแบบไหนใช่โรคกระเพาะ

1. รู้สึกปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ มักปวดเวลาท้องว่าง และอาการปวดเหล่านี้จะลดลงหรือหายไป เมื่อเรารับประทานอาหาร
2. มีอาการปวดหลัง หลังจากรับประทานอาหารไปแล้ว 2-3 ชั่วโมง จะมีอาการปวดหลังช่วงเวลาดังกล่าว เป็นเวลาที่กระเพาะอาหารของเราเริ่มย่อยอาหาร
3. รู้สึกแน่นท้อง ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว อาจเกิดจากการรีบกินอาหาร การกลืนอาหารเร็วเกินไป รวมไปถึงการดื่มน้ำมากขณะกินอาหาร ซึ่งส่งผลให้กระบวนการย่อยอาหารในกระเพาะแปรปรวน
4. รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน เสียดหน้าอก มักจะเกิดจากอาหารที่รับประทานเข้าไปไม่ย่อย

หากมีอาการปวดท้องรุนแรง ชนิดที่ว่าหายใจแรงก็ปวด ถ่ายท้อง อาเจียนหรืออุจาระออกมาเป็นเลือด และมีสีดำตลอดเวลา ให้รู้ไว้เลยว่า อาการอยู่ในขั้นอันตราย ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาเป็นการด่วน หากช้าเกินไป อาจเกิดอาการกระเพาะอาหารทะลุ หรือเลือดออกทางเดินอาหารได้

หลากวิธี หนีโรคกระเพาะอาหาร
1. กินอาหารให้ตรงเวลา และให้ครบ 3 มื้อ เป็นข้อปฏิบัติอย่างแรกที่ควรทำ เพราะจะช่วยให้กระเพาะอาหารเคยชินกับการย่อย และปล่อยน้ำย่อยออกมาในปริมาณที่พอดีทุกวัน
2. สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว ในระยะแรกให้ฝึกการกินอาหารให้ตรงเวลา อาจรู้สึกปวดท้องมาก ควรเริ่มจากการกินอาหารย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ทีละน้อยๆก่อน ทั้งนี้ควรงดอาหารที่มีรสจัด เช่น เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด ของดอง และอาหารทอดทุกประเภท
3. เลิกสูบบุหรี่ และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด รวมทั้ง ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง และน้ำอัดลม เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ และอาจทำให้โรคกระเพาะอาหารที่เป็นอยู่กำเริบหนักขึ้น
4. หยุดยาแอสไพริน ยาแก้ปวด และยาแก้อักเสบที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ เพราะยาจำพวกนี้จะมีฤทธิ์ไปกระตุ้นให้กระเพาะอาหารเกิดการอักเสบมากขึ้น ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาข้ออักเสบ ควรสอบถามเพื่อความมั่นใจจากแพทย์ก่อน
5. หากิจกรรมคลายเครียด สามารถทำได้หลายวิธี เป็นต้นว่า การออกกำลังกาย เช่น วิ่งเหยาะๆ เดินเร็ว ขี่จักรยาน รำมวย รำกระบอง เต้นแอโรบิก หรือทำสมาธิ อ่านหนังสือ เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ หากปฏิบัติเป็นประจำจะช่วยลดความเครียด และในระยะยาวยังสามารถรักษาโรคกระเพาะอาหารให้หายขาดได้

สังเกตสัญญาณร้ายส่อโรคไต

โรคไต คือโรคไม่ติดต่อชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากการรับประทานอาหารรสเค็มและอาหารที่มีไขมันสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยเฉพาะคนที่ชอบกินขนมขบเคี้ยว (อุดมไปด้วยเกลือ) และอาหารจังค์ฟู้ด (เต็มไปด้วยไขมันเลว) จะมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคไตเพิ่มขึ้น ซึ่งบางคนกว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว เพื่อเป็นการย้ำเตือนให้เห็นถึงอันตรายของโรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค (แต่เกิดจากพฤติกรรมการกิน) ชนิดนี้ โรคภัยใกล้ตัวมีข้อมูลในการสังเกตสัญญาณอันตรายของโรคไตมาฝาก

สังเกตอย่างไร ไตผิดปกติ
โดยทั่วไปร่างกายจะแสดงอาการผิดปกติออกมาก็ต่อเมื่อไตทำงานหนักมากแล้ว ซึ่งกว่าจะรู้ตัวและหาทางรักษาอาจสายเกินไป และอาการต่อไปนี้คือสัญญาณอันตรายที่เป็นข้อบ่งชี้ว่าคุณอาจเป็นโรคไต

อาการปัสสาวะผิดปกติ เนื่องจากกระเพาะปัสสาวะและไตทำงานสัมพันธ์กัน เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้นที่ไต กระเพาะปัสสาวะจึงผิดปกติไปด้วย ซึ่งคุณหมอได้แนะวิธีสังเกตอาการผิดปกติของปัสสาวะไว้ดังนี้

ปัสสาวะขัด สำหรับผู้ที่มีอาการ ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะขัด เจ็บ ต้องออกแรงเบ่ง ปัสสาวะไม่พุ่ง หรือปัสสาวะสะดุดกลางคัน เหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่า อาจเกิดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ หรือเป็นนิ่วในไต ซึ่งมักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ โดยทั่วไป หากไม่ได้ดื่มน้ำก่อนเข้านอน เมื่อนอนหลับไปแล้ว 6 - 8 ชั่วโมง เรามักจะไม่ต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะกลางดึก ทั้งนี้เพราะกระเพาะปัสสาวะจะสามารถเก็บน้ำได้ถึง 250 ซี.ซี. แต่ในคนที่เป็นโรคไต ไตจะไม่สามารถหยุดการขับน้ำในกระเพาะปัสสาวะ ทำให้มีน้ำออกมามากและปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ จึงมักจะตื่นขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางดึก

ปัสสาวะเป็นฟองมาก ปกติเวลาที่เราปัสสาวะจะมีโปรตีนไหลปนออกมาด้วย ซึ่งโปรตีนนี่เอง ที่ทำให้เกิดฟองสีขาวๆ หากใครปัสสาวะแล้วมีฟองสีขาวเหมือนฟองสบู่ออกมามากกว่าที่เคยเป็น นั่นอาจเป็นข้อบ่งชี้ว่า ไตของเราทำงานผิดปกติ เนื่องจากเส้นเลือดฝอยในไตเกิดการอักเสบ ซึ่งหากเกิดร่วมกับการปัสสาวะเป็นเลือด ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นโรคไต ควรไปพบแพทย์โดยด่วน

ปัสสาวะเป็นเลือด ปกติน้ำปัสสาวะของเราจะมีสีเหลืองใส หรืออาจจะมีสีเข้มขึ้นได้นิดหน่อยหากดื่มน้ำน้อย หรือจางลงได้เมื่อดื่มน้ำมาก แต่ถ้าหากปัสสาวะมีสีแดงคล้ายเลือดหรือสีน้ำล้างเนื้อ สีชาแก่ หรือสีเหลืองเข้ม นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่ามีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ โดยอาจจะเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ มีนิ่วในไต เป็นไตอักเสบ หรือมีเนื้องอกในทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น

อาการบวม
ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตส่วนใหญ่ มักจะมีอาการบวมตามที่ต่างๆของร่างกาย เช่น อาการบวมรอบดวงตา และที่บริเวณหน้า ซึ่งอาจสังเกตได้เวลาตื่นนอน หรืออาการบวมที่เท้า สังเกตได้ในตอนช่วงบ่ายของทุกวัน หรือเมื่อทำกิจกรรมที่ต้องยืนเป็นเวลานานจะรู้สึกว่ารองเท้าที่สวมอยู่ดูคับขึ้น ทั้งนี้ หากใช้นิ้วกดไปตรงบริเวณที่บวมแล้วมีรอยบุ๋มลงไป ให้สันนิษฐานไว้เลยว่าเป็นโรคไต ควรไปพบแพทย์โดยด่วน

อาการปวด
พบบ่อยในผู้ป่วยที่เป็นโรคไต ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ปวดเอว ปวดกระดูกและข้อ โดยจะมีลักษณะการปวดคือ รู้สึกปวดที่บั้นเอว หรือบริเวณชายโครงด้านหลัง และมักปวดร้าวไปถึงท้องน้อย ขาอ่อน หัวเหน่า และที่อวัยวะเพศ การปวดในบริเวณดังกล่าว อาจเกิดจากมีการอุดตันที่ท่อไต กรวยไตอักเสบ หรือในท่อไตมีถุงน้ำโป่งพอง

ความดันโลหิตสูง
เป็นอาการสำคัญอย่างหนึ่งที่บอกให้รู้ว่าคุณมีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคไตเรื้อรัง โดยเฉพาะคนที่ป่วยเป็นความดันโลหิตสูงมานาน และไม่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในภาวะที่สมดุลจะยิ่งมีภาวะเสี่ยงมากกว่าปกติ โดยอาจจะเป็นโรคไตเรื้อรัง และโรคหลอดเลือดแดงในไตตีบได้

เมื่อสงสัยว่าเป็นโรคไต ทำยังไงดี
โรคชนิดนี้เกิดจากพฤติกรรมการกินเป็นสำคัญ ดังนั้น หากไม่อยากเป็นโรคไต ควรหันมาใส่ใจในเรื่องอาหารการกิน โดยพยายามงดอาหารที่มีรสเค็มจัดและอาหารที่มีไขมันสูงอย่างเด็ดขาด สำหรับผู้ที่สงสัยว่าตัวเองเป็นโรคไต หากมีอาการผิดปกติในข้อใดข้อหนึ่งข้างต้น ไม่ควรนิ่งนอนใจให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะโรคไตบางชนิด เช่น นิ่วในไต กรวยไตอักเสบ รักษาได้ หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

ปวดศีรษะบอกอะไร? เราบ้าง

สาเหตุของการปวดศีรษะมีได้หลายประการ

1. มีความผิดปกติในเนื้อสมอง เช่น เนื้องอกในสมอง เส้นเลือดในสมองโป่งพอง
2. มีความผิดปกตินอกเนื้อสมอง เช่น โพรงจมูกอักเสบ, หูอักเสบ, สายตาผิดปกติ
3. มีความตึงเครียดทางอารมณ์

ส่วนการรักษานั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุของการปวด อาการปวดศีรษะที่พบบ่อยและควรทราบเพื่อการปฏิบัติที่ถูกต้องคือ
1. ปวดศีรษะไมเกรน (Headaches, Migrain) มีลักษณะเฉพาะคือปวดศีรษะข้างเดียวอย่าง รุนแรง มักจะเริ่มปวดรอบ ๆ ลูกตาก่อน (ส่วนน้อยปวดทั้งสองข้างพร้อมกัน) ลักษณะการปวดจะปวดตุบ ๆ แปลบ ๆ เป็นระยะ ๆ ก่อนเกิดอาการปวดจะมีอาการนำมาก่อนประมาณ 10 - 30 นาที เช่น คลื่นไส้ อาเจียน งุนงง วิงเวียน เห็นภาพซ้อน ตาไวต่อแสง พูดลำบาก (บางครั้งการอาเจียนทำให้อาการปวดศีรษะดีขึ้น)

สาเหตุการปวดศีรษะแบบไมเกรนยังไม่ทราบแน่นอน มีผู้ศึกษาพบว่าเกิดจากการอักเสบหรือการระคายเคืองของเส้นเลือดที่บริเวณหนังศีรษะ ทำให้มีการหดตัวและขยายตัวของเส้นเลือดบริเวณดังกล่าว จึงเกิดอาการปวดศีรษะขึ้นและพบว่า 70 % ของผู้ที่ปวดศีรษะไมเกรนเป็นหญิง ซึ่งมีความสัมพันธ์กับระดับฮอร์โมนและการมีประจำเดือน

ปัจจัยอื่น ๆ กรรมพันธุ์มีความสำคัญมาก การมีประวัติปวดศีรษะในครอบครัว อาหารที่มีสารปรุงแต่งของผงชูรส สารกันบูด อาหารรมควัน ตับไก่ พืชตระกูลส้ม มะนาว ชอคโกแลต เนยแข็ง ไวน์แดง กลิ่นคาว ๆ แสงจ้า ๆ และเสียงดัง เป็นต้น

2. ปวดศีรษะจากอารมณ์และความเครียด (Headeches, tension) อาจเกิดจากการใช้ความคิด มีปัญหาซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง เช่น ปัญหาครอบครัว เศรษฐกิจ เพื่อนร่วมงาน ปัญหาทางเพศ การทำงาน การสอน
ลักษณะการปวด จะปวดตื้อ ๆ เหมือนมีผ้ามาบีบรัด หรือมีผ้ามาโพกรอบศีรษะ ขมับท้ายทอย รอบ ๆ กระบอกตา อาจจะปวดตรงด้านหน้าลงมาตามกล้ามเนื้อท้ายทอย อาการปวดมักจะเป็นตอนบ่าย หลังจากทำงานมาเป็นเวลานาน ๆ ผู้ที่ปวดศีรษะประเภทนี้มักจะเป็นผู้ที่มีความมุ่งหวังในความสำเร็จสูง ขี้อาย กลัว เป็นต้น


3. การปวดศีรษะรุนแรงแบบเกาะกลุ่ม (Headeches, cluster) เป็นอาการปวดที่รุนแรงจะปวดข้างเดียวหลังลูกตา อาการปวดจะปวดนานเป็นวัน เป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือนหรือนานกว่านี้ หรืออาจเกิดอาการปวด 10 ครั้ง ใน 1 วันก็ได้ มักเกิดในเพศชายมากกว่าเพศหญิงพบได้ในช่วงอายุ 20 - 30 ปี อาการปวดบางครั้งอาจเกิดขึ้นกลางดึกได้ แพทย์บางท่านเชื่อว่าการปวดศีรษะชนิดนี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดความดันเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ แผลในกระเพาะอาหาร เบาหวาน

4. ปวดศีรษะจากความดันเลือดสูง ลักษณะการปวดจะปวดแบบมึน ๆ ตื้อ ๆ ตลอดเวลา จะเป็นมากเวลาตื่นนอนกลางวัน อาการปวดจะทุเลาลงหรือปวดขณะไอ จาม เบ่งอุจจาระ เพราะจะทำให้ความดันในกระโหลกศีรษะสูงขึ้นชั่วคราว ถ้าปวดรุนแรงอาจมีอาเจียนร่วมด้วย อาจมีตามัวก่อนวัย ตำแหน่งที่ปวดคือบริเวณท้ายทอย

5. ปวดศีรษะเนื่องจากสายตาผิดปกติ ลักษณะการปวดจะปวดมากเวลาใช้สายตามองไกลหรือมองใกล้ไม่ชัด ปวดข้างเดียวตื้อ ๆ รุนแรง ตาแดง ตาพร่ามัว ตำแหน่งที่ปวดคือ บริเวณกระบอกตา หน้าผาก และขมับ เกิดจากการใช้สายตามากเกินไป เช่น อ่านหนังสือนาน ๆ สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง ต้อหิน