วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

กระชับรูขุมขนแบบธรรมชาติ

ผิวที่เต็มไปด้วยรูขุมขนกว้างๆ เป็นภาพที่ไม่น่าดูแต่อย่างใด หากทำให้รูขุมขนลดหรือหายไปตลอดกาล เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตามคุณอาจกระชับหรือทำให้รูขุมขนดููเล็กลงได้ชั่วคราว ด้วยสูตรธรรมชาติต่อไปนี้

น้ำแข็งและน้ำมะนาว ทำความสะอาดผิวหน้าแล้ววักน้ำเย็นจัดๆ ราดรดให้ทั่วหน้า หรือใช้ก้อนน้ำแข็งห่อผ้านุ่มๆ แล้วถูให้ทั่วใบหน้า ความเย็นจากน้ำแข็งจะทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าหดตัว และรูขุมขนก็จะกระชับขึ้นชั่วคราวด้ว จากนั้น ซับหน้าให้แห้ง แล้วทาน้ำมะนาวสดทั่วใบหน้า ถ้าผิวคุณไม่แพ้ง่ายหรือมีปฎิกิริยากับกรดในน้ำมะนาว เพราะน้ำมะนาวจะทำหน้าที่เป็นแอสตริงเจนด์ที่ช่วยกระชับ รูขุมขนอีกแรงหนึ่ง


ไข่ขาว ตีไข่ขาวหนึ่งฟอง ใส่น้ำมะนาวลงไปหนึ่งช้อนโต๊ะ แล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นนิดๆ และตามด้วยน้ำเย็นอีกรอบหนึ่ง คุณอาจงดใช้น้ำมะนาวก็ได้ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่าย


ผักกาดหอมและมะนาว บดผักกาดหอมสองสามใบให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำมาผสมกับน้ำมะนาวสองสามช้อนโต๊ะ และทาหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ 20 นาทีก่อนล้างออก

แอพริคอตสดกับมะเขือเทศ บดให้เข้ากันแล้วทาลงบนใบหน้า ทิ้งไว้ 5 นาทีก่อนล้างออก

สครับน้ำตาลทราย ก็อาจช่วยกระชับรูขุมขนได้ ผสมน้ำตาลทรายกับน้ำมันมะกอก น้ำผึ้งและน้ำมะนาว และใช้ขัดผิวหน้าเบาๆ ล้างออกให้สะอาดตามด้วยน้ำเย็นจัดๆ


น่ารู้ เรื่องยาเลื่อนประจำเดือน

สาว ๆ อาจรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ หากวันที่จะต้องเดินทางไกล ไปเที่ยวทะเล ไปเข้าค่าย หรือวันสำคัญในชีวิต คือ วันแต่งงาน แล้วบังเอิญเป็นช่วงประจำเดือนมาพอดี ดังนั้นหลายคนจึงต้องวางแผน ด้วยการไปซื้อ “ยาเลื่อนประจำเดือน” มากินล่วงหน้า แต่อย่างว่าคนไม่เคยใช้ ก็ย่อมวิตกกังวลเป็นธรรมดา ว่าจะมีผลข้างเคียงอะไรตามมาหรือเปล่า


เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศ.นพ.อภิชาติ จิตต์เจริญ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยา ลัยมหิดล บอกว่า ยาเลื่อนประจำเดือน ถ้ามีฮอร์โมนโปรเจสโตเจนอย่างเดียว เรียกว่า “แบบเดี่ยว” แต่ถ้าเป็น “แบบผสม” จะมีทั้งโปร เจสโตเจนและเอสโตเจนรวมกัน ซึ่ง “แบบผสม” อาจมีผลข้างเคียงมากกว่า โดยทั่วไปที่ใช้กันอยู่จึงเป็นชนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสโตเจนตัวเดียว

วิธีการใช้ จะต้องกินยาล่วงหน้าอย่างน้อย 4-5 วัน หรือ 1 สัปดาห์ เพราะถ้าไปกินในช่วงวันใกล้มีประจำเดือนอาจจะไม่ได้ผล กินยาวันละ 2 เม็ด ตอนเช้าและตอนเย็น ติดต่อกันในขนาดที่กำหนด แต่ไม่ควรเกิน 10-14 วัน เพราะการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้มีเลือดออกกะปริบกะปรอย และรอบเดือนมาผิดปกติได้

เมื่อหยุดยาแล้ว ประจำเดือนจะไม่มาทันที อีกประมาณ 2-3 วันต่อจากนั้น ประจำเดือนจึงจะมาตามปกติ

สำหรับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการกินยาเลื่อนประจำเดือน เช่น บางคนอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ เป็นบางเวลา หรือ อาจมีเลือดออกกะปริบกะปรอย ส่วนผลข้างเคียงอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรน่ากลัว ถือว่ามีความปลอดภัย



ยิ่งนอนดึก ยิ่งเร่งวันตาย


การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับ เครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว)ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงานมักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก
1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า

2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้

ระบบการย่อยอาหาร
ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึก อุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษ อะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้ เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อ สัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนม แทนไข่)

ท้องผูก มี 2 ลักษณะ
1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง
2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มี แรงบีบให้ออกจนหมด

ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความ สกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่ง มันเป็นของเสีย ที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจาก ท้องผูกนั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมา ได้เร็ว ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วย ทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผง เป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หา ถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา

ระบบปัสสาวะ
ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้อง ลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออ กมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่ แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย) ถ้าไม่ทานแคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะแล ะเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง
อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่ แป้งฝืดๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด ระบบเหงื่อ คนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกา ยจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงาน หนัก

ระบบหายใจ
ระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่ อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นในตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ ได้ แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวานๆ ตอนอยู่ดึกๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้ เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรงๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ ถ้าฟอกวันละหลายๆ ครั้งไขมันจะหมด จะทำให้ผิวแตก ถ้าคันมากๆ อันเนื่องมาจากการนอนดึก ถ้า เราไม่ทราบเราจะยิ่งฟอกสบู่หนักเข้าซึ่งไม่ดี ให้ฟอกวันเว้นวัน การดูแลรักษาร่างกายให้ดี จะทำให้นั่งสมาธิได้ดี นั่งได้นาน ไม่คัน ไม่เข้าห้องน้ำบ่อย


เรื่องจาก mcot.net

วิธีดูแลผิวหลังเผชิญแสงแดด


+ กรณีที่อาบแดดนาน ๆ อยู่ท่ามกลางความร้อนมากเกินไปหรือแพ้สภาพอากาศ อาจทำให้ใบหน้าและบริเวณหน้าอกขึ้นเป็นผื่นแดงได้ วิธีที่ดีที่สุด คือใช้ครีมบำรุงผิวสูตรบรรเทาผื่นแดงสำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ เพื่อลดขนาดของรอยผื่น และต้องหลบแดดทันทีควบคู่กับการงดทำซาวน่า และอยู่ให้พ้นจากชายหาด ที่มีลมแรงสักระยะ

+ ปัญหาผิวแผ่นหลังลอกจะเกิดหลังจากผ่านการอาบแดดมา ซึ่งสามารถ แก้ไขได้โดยให้ผิวสัมผัสนุ่มเนียนขึ้นได้ โดยใช้ออยล์ลูบไล้ให้ทั่ว แต่จะดียิ่งขึ้นหากใช้เกลือขัดผิวหรือบอดี้สครับสูตรอ่อนโยนขจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพให้หลุดออก

+ ผิวขาหยาบกร้านแห้ง แตก เป็นขุย เป็นผลมาจากร่างกายขาดน้ำจึงต้องดื่มน้ำมากเป็นพิเศษ และขัดผิวอย่างถูกวิธีควบคู่ไปด้วย ผิวกายควรใช้แปรงขัดผิว ใยบวบ หรือถุงมือขัดผิวโดยเฉพาะ ขัดถูให้ทั่ว พร้อมกับใช้ครีมขัดผิวคู่ไปด้วย หลังจากนั้นอย่าลืมบำรุงผิวที่หยาบกร้านด้วยโลชั่นถนอมผิว

+ ไหล่ เป็นจุดที่ถูกแดดเผาได้ง่าย หากคุณเปลือยไหล่อาบแดด จึงควรประคบผิวส่วนนี้ให้เย็นขึ้นด้วยการใช้โลชั่นที่มีส่วนประกอบของน้ำมันสำหรับชโลมผิวหลังอาบแดดโดยเฉพาะ หรือชโลมด้วยน้ำเย็นก่อนเป็นอันดับแรก

+ริ้วรอยแห่งวัยที่เกิดจากเผชิญแสงแดดเป็นเวลานาน ยิ่งอายุมากขึ้นริ้วรอยยับย่นแห่งวัยก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นได้ง่ายและเร็ว ควรดูแลผิวเสียแต่เนิ่น ๆ ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวประเภทม้อยส์เจอร์ไรเซอร์บำรุงที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน และอีลาสติน แต่นับจากนี้ก็ต้องหมั่นดูแลตัวเองให้ได้รับผลเสียจากแสงแดดน้อยที่สุด เพราะริ้วรอยที่เกิดขึ้นแล้วต้องใช้ระยะเวลาในการลดเลือนริ้วรอย

ใครที่โดนแสงแดดทำลายผิว ลองนำวิธีที่แนะนำไปบำรุงผิวให้กลับคืนสู่สภาพเดิมกันได้

วิธีทำให้ผมยาวเร็วขึ้น


- ออกกำลังกายให้เส้นผม
เร่งให้ผมยาวด้วยการก้มศีรษะให้เลือดไปเลี้ยงที่ศีรษะค้างไว้ 30 วินาที ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาทำเช่นนี้ทุกวัน เลือดจะไหลเวียนไปเลี้ยงเส้นผมที่ศีรษะ ทำให้เส้นผมแข็งแรงและยาวเร็วขึ้นด้วย

- เพิ่มโปรตีน

โปรตีนสามารถปกป้องและซ่อมแซมเส้นผม ช่วยลดการหลุดร่วงและการแตกหักของเส้นผม ทำให้เส้นผมแข็งแรง และยาวเร็วขึ้นได้

- กินปลา

ปลา พืชผักใบเขียว และบลูเบอรี่เป็นแหล่งอาหารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ฉะนั้นบริเวณใดก็ตามในร่างกายที่มีเลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงได้ดีจะทำให้ร่างกายบริเวณนั้นแข็งแรง มีชีวิตชีวารวมไปถึงเส้นผมบนศีรษะด้วย

- เคยนวดศีรษะกันบ้างไหม

การนวดศีรษะจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตบนศีรษะ และยังจะช่วยทำให้เส้นผมเติบโตเร็วขึ้น การนวดศีรษะอาจทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านในขณะสระผม โดยการใช้นิ้วมือกดและนวดไปตามจุดบนศีรษะอย่างเบามือ

- แปรงให้ถูก

หลีกเลี่ยงการทำให้เส้นผมขาดและหลุดร่วงด้วยการไม่หวีผมขณะยังเปียกอยู่ เลือกใช้หวีซีกใหญ่และห่างในการหวีผมช่วงผมเปียกแทน

- ตัดผมบ้าง

การเล็มผมบ่อย ๆ จะช่วยให้ผมยาวเร็วขึ้น และยังถือว่าเป็นการกำจัดผมแตกปลายไปในตัวด้วย

- ต่อผมก็ได้

ลองมองหาร้านทำผมที่มีบริการต่อผมดู ให้เลือกใช้บริการร้านต่อผมที่ค่อนข้างมีประสบการณ์จะดีกว่า

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากผมยาวเร็ว ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติกันดูได้

ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก เดลินิวส์

กินไปนับไป ไม่มีอ้วน

สาวๆ นักหม่ำอาจจะทำใจยากที่ต้องพรากจากของกินสุดโปรดเพื่อแลกกับบอดี้งามๆ แต่ถ้าคุณกินไปนับแคลอรีไปด้วย คุณก็จะจำกัดปริมาณเองได้ว่าควรจะกินเท่าไร เป็นการพบกันครึ่งทางแบบถนอมน้ำใจตัวเอง และไม่ต้องเสียหุ่นเพรียวไปด้วย

ช็อกโกแลต ขนมที่สาวๆ ขาดไม่ได้ก้อนนี้ ให้พลังงาน 135 แคลอรีต่อชิ้น ทีนี้เวลาจะกินนับด้วยนะว่าเคี้ยวไปกี่ชิ้น อ้วนไปกี่ขีด..

เค้ก นี่ก็สุดยอดของโปรดของสาวๆ อีกเช่นกัน เค้กก้อนหนึ่งให้พลังงาน 235 แคลอรี วันเกิดแต่ละปีอ้วนขึ้นไปกี่โล เดากันเอาเอง

ไอศกรีม เห็นเย็นๆ เนื้อเบาๆ อย่างนี้ ไอศกรีม 1 ถ้วยแฝงความอ้วนไว้ถึง 300 แคลอรี นี่ล่ะสวยประหารของจริง

กล้วยบวชชี แม่ชีนางนี้มีพลังงานน้อยมาก กิน 5 ชิ้นจะให้พลังงานแค่ 152 แคลอรีเท่านั้น แต่จะได้วิตามินจากกล้วยเพียบ

กล้วยแขก ถึงจะเป็นกล้วยเหมือนกันแต่ความอ้วนผิดกันลิบ สาวๆ ที่ชอบกินกล้วยแขกจึงต้องระวังปากกันให้ดีๆ เพราะกล้วยแขก 5 ชิ้นให้พลังงานสูงถึง 252 แคลอรี กินเสร็จผลงานความตะกละจะไปโชว์ตัวอยู่ที่หน้าท้อง ให้โลกรู้ว่าไปทำอะไรมา

ขนมครก ถึงถ้วยจะเล็กแต่ความอ้วนไม่ได้เล็กไปด้วย 1 ถ้วยให้พลังงาน 92 แคลอรี แต่เวลากินใครล่ะจะกินแค่ถ้วยเดียว

น้ำส้มคั้น น้ำนางเอกแก้วนี้เธอแอ๊บแบ๊วพลังงานไว้ที่ 160 แคลอรีต่อแก้ว โปรดคิดให้ดีก่อนจะหลงเชื่อหน้าสวยๆ ใสซื่อ เราเตือนคุณแล้วนะ!

กาแฟ จำนวนแคลอรีของกาแฟแก้วนี้ขึ้นอยู่กับคนชง ถ้าใส่น้ำตาล 2 ช้อนชา ครีมเทียมอีก 2 ช้อนชา คุณจะได้พลังงานไปเต็มๆ 62 แคลอรี แต่ถ้ามือหนักกว่านี้ แคลอรีก็จะเพิ่มตามไปด้วย

ขนมปังขาว ถ้ากินแบบเพรียวๆ ไม่ได้ทาเนยคุณจะได้พลังงานแค่แผ่นละ 68 แคลอรี ไม่ได้มากมายอย่างที่คิด

น้ำอัดลม สาวกน้ำอัดลมโปรดทราบ น้ำอัดลม 1 แก้วให้พลังงาน 110 แคลอรี วันหนึ่งคุณกินเข้าไปกี่แก้ว ..

เฉาก๊วย ถึงตัวจะดำแต่ใจดี เพราะเฉาก๊วยทั้งถ้วย มีพลังงานแค่ 18 แคลอรีเท่านั้น จะกินแก้ร้อน แก้เซ็ง หรือกินแก้เศร้า ก็ไม่ย้อนกลับมาทำให้เราช้ำใจ

นมสด นมสดธรรมดาครึ่งถ้วยตวงให้พลังงานถึง 150 แคลอรี นักดื่มนมเพื่อสุขภาพ คงต้องเปลี่ยนมาดื่มนมพร่องมันเนยกันแล้วล่ะ จะได้สุขภาพดีไม่มีไขมัน

ขอบคุณเนื้อหาที่มาจาก spicy

สารพัดรอย เปื้อนเสื้อผ้า

อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอกับเสื้อผ้าแสนสวยของคุณ โดยเฉพาะการทำเบียร์หกหรือเปื้อนเลือด จะทิ้งเสื้อผ้าก็เสียดายเพราะเป็นชุดโปรดที่เพิ่งซื้อมา อย่าเพิ่งตกใจหากทำเสื้อผ้าเลอะโดยไม่ตั้งใจ เรามีวิธีกำจัดรอยเปื้อนให้คุณค่ะ



โดยทั่วๆ ไป หากเสื้อผ้าเปื้อน ก็ให้ใช้ สเปรย์ฉีดผม ฉีดบริเวณที่เปื้อนเพื่อตรึงสิ่งที่เปื้อนไม่ให้เข้าไปในเนื้อผ้า จากนั้นก็ซักล้างออกตามปกติ


เปื้อนยา กำลังกินยาแล้วทำยาหกรดเสื้อ ให้ใช้น้ำเย็นๆ ล้างออก จากนั้นซักผ้าตามปกติ


เปื้อนเบียร์ กำลังซดเบียร์หรือกำลังรินเบียร์ให้สุดที่รัก แต่เบียร์เจ้ากรรมดันหดรดเสื้อผ้า ให้คุณรีบใช้ผ้าชื้นถูออกโดยเร็วหรือใช้น้ำล้างออก จากนั้นซักผ้าตากปกติ


เปื้อนเลือด เนื่องจากเลือดมีโปรตีน จึงไม่ควรใช้น้ำร้อนเช็ดล้าง ควรใช้น้ำเย็นและสบู่ล้างออก หากเป็นผ้าไหม ให้ใช้แอลกอฮอล์ค่อยๆ เช็ดอย่างระวัง


เปื้อนน้ำดำ ให้ใช้ผ้านุ่มกับน้ำสบู่เช็ดถูออกหรือใช้ผ้าชื้นเช็ด จากนั้นซักผ้าตามปกติ


เปื้อนน้ำยาดับกลิ่นตัว สาวๆ หนุ่มๆ มักมีปัญหากับการที่น้ำยาดับกลิ่นตัวเปื้อนติดเสื้อผ้า โดยเฉพาะรักแร้ วิธีแก้ไขก็คือ ให้ใช้น้ำส้มสายชูเจือจางล้างบริเวณที่เปื้อนออกโดยใช้มือ จากนั้นซักผ้าได้ตามปกติ



7 เคล็ดลับความงาม ที่เอาชนะอากาศร้อน

หน้าร้อนอาจให้ความรู้สึกที่คึกคักสดใส แต่ความร้อนจนแทบละลาย ก็ทำให้ใบหน้าสวยๆ ของคุณมันเยิ้ม และเครื่องสำอางเลอะเลือนได้ง่าย ด้วยความร้อนและความชื้นเป็นสาเหตุสำคัญ เราจึงได้สรรหาเคล็ดลับในการแต่งเติมความงามที่จะทำให้คุณดูสดใสและสวยงามได้ยาวนาน ถึงแม้อากาศจะไม่เป็นใจก็ตามที งั้นเรามีเคล็ดลับความงามที่เอาชนะอากาศร้อนได้ดีที่สุดสำหรับทุกคนมาฝากกันค่ะ

1. ถึงเวลาใช้ไฟรเมอร์ คุณจะไม่เสียใจเลยกับเวลาสองสามวินาทีที่ใช้ไปกับการทาไพรเมอร์ ซึ่งใช้หลังจากมอยส์เจอไรเซอร์และก่อนเครื่องสำอาง ไพรเมอร์เป็นชั้นของเมกอัพที่ไม่ให้ความรู้สึกหนาหนัก แต่จะช่วยทำให้เมกอัพติดทนานานขึ้น

2. ให้เมกอัพบางเบาลง เช่นเดียวกับที่เรามักจะเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าเนื้อบางเบา คุณก็ควรแต่งหน้าด้วยเมกอัพที่เบาลงเช่นกัน โดยเปลี่ยนจากรองพื้นมาเป็นมอยส์เจอไรเซอร์แบบเจือสี (Tinted Moisturzer) สูตรบางเบาของมันจะทำให้ผิวรู้สึกโปร่งสบาย และไม่ไหลเยิ้มในช่วงอากาศร้อน แต่ถ้ารู้สึกว่าปกปิดไม่ค่อยดีนัก ลองใช้รองพื้นแบบครีมหรือแบบแท่งทาทับในบริเวณที่ต้องการปกปิดเป็นพิเศษ รองพื้นจะมีเนื้อบางเบากว่าคอนซีลเลอร์จึงไม่ไหลเยิ้มได้ง่าย จากนั้น ปัดแป้งฝุ่นแบบโปร่งแสงทับ เพื่อเซ็ตรองพื้นให้อยู่ตัว

3. เลือกสีสดใส คุณมักใส่เสื้อสีสดใสหรือหิ้วกระเป๋าสีสดๆ ในหน้าร้อน และตอนนี้ก็เป็นห้วงเวลาที่เหมาะแก่การเล่นกับสีเมกอัพของคุณเช่นกัน สีสันสดๆ จะทำให้ใบหน้าของคุณดูสดชื่น และทำให้ผิวดูผุดผ่องและอ่อนเยาว์ ถ้าคุณมักจะแต่งหน้าด้วยสีกลางๆ ลองทดลองกับสีสดใสแค่หนึ่งสี และพวงแก้มสีสุกปลั่งเป็นบริเวณที่เหมาะแก่การทดลองอย่างมาก

4. หยุดความมัน บริเวณทีโซนที่เป็นมันเยิ้มไม่เซ็กซี่แม้แต่นิดเดียว เพื่อกำจัดความมันวาว ซึ่งไม่น่ามองในไม่กี่วินาที ไม่มีอะไรเหมาะไปกว่ากระดาษซับมัน เพราะมันราคาถูก ใช้ง่าย และได้ผลดี ถ้าคุณอยากเติมเมกอัพของคุณสักหน่อย ก็ซับความมันวาวก่อน แล้วปัดแป้งฝุ่นที่มีประกายแวววาวเล็กน้อย มันจะทำให้หน้าคุณดูไม่มันเยิ้ม และยังคงความเปล่งปลั่งอยู่

5. เปลี่ยนลิปสติก เนื่องจากลิปสติกสีเข้มๆ ให้ความรู้สึกร้อนเกินไป เมื่อเวลาที่อากาศอ่นขึ้น ลองเปลี่ยนมาใช้ลิปบาล์มแบบเจือสีหรือลิปสติกแบบเนื้อบางเบา และเลือกแบบที่มีสารกันแดดเพื่อการปกป้องที่เพิ่มขึ้น

6. อายแชโดว์ติดทนนาน หลีกเลี่ยงอายแชโดว์แบบครีมและใช้อายไพรเมอร์แทน มันจะลดการเกิดคราบ และติดทนนาน หรือทาอายแชโดว์แบบฝุ่นทับแบบครีมเพื่อให้มันติดทนขึ้น และไม่เป็นคราบ อย่าลืมดูอายไลเนอร์ไม่ให้ไหลเลอะเทอะ ด้วยการเขียนอายไลเนอร์ตามปกติ แล้วใช้แปรงปลายตัด ทาอายแชโดว์สีเข้มทับลงไปบนเส้นนั้น อายไลเนอร์จะติดทนนานขึ้น

7. ใช้เครื่องสำอางกันน้ำ ถ้าคุณเคยใช้มาสคาร่าแบบกันน้ำมาก่อน และไม่ค่อยชอบเท่าที่ควร ลองใช้มันอีกสักครั้ง เพราะเดี๋ยวนี้มาสคาร่าแบบกันน้ำสูตรใหม่จะดีกว่าเดิม แต่ถ้าไม่อยากเปลี่ยนจากมาสคาร่าเดิมที่คุณชอบ ลองทาแบบกันน้ำเฉพาะที่ปลายขนตาทับลงไปบนมาสคาร่าปกติที่คุณใช้ เพื่อให้มันติดทนนานขึ้น

ขอบคุณที่มาจาก
นิตยสาร Lisa

ตลาดมหาชัย สมุทรสาคร

จ.เพชรบูรณ์

พิษณุโลก

ฉะเชิงเทรา

เที่ยวเยาวราช

นครปฐม

สมุทรปราการ

ทุ่งดอกกระเจียว ชัยภูมิ

เที่ยวประจวบคีรีขันธ์

ราชบุรี

เที่ยวระนอง

เที่ยวกระบี่

เกาะสมุย สุราษฎ์ธานี

จ.สงขลา

พังงา

ภูชี้ฟ้า จ.เชียงราย

เที่ยว จ.หนองคาย

จ, พิษณุโลก

เที่ยวจ.เพชรบุรี

บ้านอิงน้ำ เฮลท์ รีสอร์ท แอนด์ สปา จ.นนทบุรี

เที่ยวนครราชสีมา

เที่ยว จ.นครนายก

ตลาดน้ำอัมพวา สมุทรสงคราม

อ่าวคุ้งกระเบน จ.จันทบุรี

เที่ยวจันทบุรี

เที่ยว จ.พระนครศรีอยุธยา

บ้านสวนเฟื่องฟ้า จ.เชียงใหม่

น้ำตกทีลอซู จ.ตาก

เกาะช้าง จ.ตราด

หาดเตยงาม จ.ชลบุรี

เที่ยวนครศรีธรรมราช

เที่ยวชลบุรี ชายหาดเกาะล้าน

เที่ยวอุ้มผาง จ. ตาก

เที่ยวประจวบคีรีขันธ์ หาดสามร้อยยอด

เมี่ยวเมืองปาย แม่ฮ่องสอน

เที่ยวปัตตานี

เที่ยวปัตตานี

เที่ยวเชียงใหม่

เที่ยวเชียงใหม่

เที่ยวเชียงใหม่

เที่ยวเมืองเลย 2

เที่ยวเมืองเลย

4 เทคโนโลยี… แฝงอันตราย

สมัยนี้เทคโนโลยีดูจะเป็นสิ่งจำเป็น ในชีวิตประจำวันของชาวโลกาภิวัตน์ไปแล้ว และด้วยความสะดวกสบายนี้เอง จึงทำให้บริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้แบบอิเล็กทรอนิกส์ ต่างหากลยุทธ์ผลิตสินค้าใช้สะดวก เพื่อตอบสนองความอยากสบายออกมาให้เห็นกันอย่างต่อเนื่อง แต่เราอย่าลืมว่า สิ่งไหนที่ให้ที่เอื้อความสะดวกสบายให้กับเรามาก สิ่งนั้นก็ย่อมจะมีพิษภัยตามมาด้วยเช่นกัน อาทิ 4 เทคโนโลยีนี้

1. คอมพิวเตอร์
ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทอย่างมาก ในชีวิตประจำวันหรือแม้แต่การทำงาน ผู้ที่ทำงานออฟฟิศ บ่อยครั้งที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์วันละไม่ต่ำกว่า 6-8 ชม. จึงมีข้อสันนิษฐานว่า การอยู่ใกล้คอมพิวเตอร์นานขนาดนั้นจะมีผลอะไรหรือไม่ คำตอบ คือ มีผลอย่างแน่นอนในต่างประเทศพบว่า มีผู้ที่ทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ถึงกับ “ช็อก” มาแล้ว สาเหตุมาจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่แผ่รังสีออกมาบางคนก็ประสาทตาเสีย มีอาการปวดศีรษะปวดตา อาเจียน เพราะโมเลกุลในร่างกายเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดภาวะแรงตังผิวเพิ่มขึ้นมาก

ในประเทศออสเตรเลีย มีข่าวผ่านสื่อออกมาว่าผู้ที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ มีโอกาสเป็น “มะเร็งสมอง” เพิ่มขึ้น เพราะสนามแม่เหล็กที่ส่งผ่านออกมาจากจอมอนิเตอร์ หรือจอคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอด Cathode-rayนั่นเอง โดยมีการวิจัยชิ้นนี้ได้รับแรงสนับสนุนยืนยันจากการศึกษาวิจัยที่เรียกว่า AdelaideStudy ในเรื่อง “การได้รับสนามแม่เหล็กกับมะเร็ง” ซึ่งเจาะจงศึกษามะเร็งสมองชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “กลิโอมา”(Glioma) โดยเฉพาะนอกจากนั้น ยังพบว่าผู้หญิงมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งชนิดนี้สูงขึ้น แต่เป็นเพียงแค่สมมติฐานหนึ่งเท่านั้น เพราะจากการวิจัยพบว่า ยังมีส่วนที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องหลายอย่าง ที่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างไม่คาดหมาย จึงไม่สามารถยืนยันได้อย่างมั่นใจ มีการวิจัยมากกว่า30 ชิ้น ที่รายงานผลการศึกษาในผู้ใหญ่
ที่ทำงานในบริเวณที่มีสนามแม่เหล็กสูง พบว่าเป็น มะเร็งหลายชนิด (ที่พบบ่อย คือ มะเร็งในเม็ดโลหิต มะเร็งสมอง มะเร็งทรวงอก) และรังสีของเครื่องคอมพิวเตอร์มีผลร้ายต่อสุขภาพร่างกายคนเรา เช่น หญิงที่นั่งทำงานอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกวัน โอกาสตั้งครรภ์จะน้อย เด็กและหญิงมีครรภ์ ไม่ควรอยู่ใกล้เครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะอันตรายจากรังสีคอมพิวเตอร์มีอยู่มากมาย เช่น คลื่นรังสีจากคอมพิวเตอร์ ทำให้เซลล์ที่ควบคุมแคลเซียมของร่างกายทำงานเร็วขึ้น ทำให้ง่ายต่อการเป็นมะเร็ง รังสีจากคอมพิวเตอร์และมอนิเตอร์ และ Accessories ต่างๆมีผลให้เด็กในครรภ์ผิดปกติ แท้ง หรืออาจจะคลอดก่อนกำหนด รังสีจากคอมพิวเตอร์และมอนิเตอร์ ทำให้เยื่อจมูกอักเสบ ปวดศีรษะนอนไม่หลับ หายใจไม่สะดวก ฯลฯ


2. ไมโครเวฟ
ข้อมูลจากหนังสือ “การก่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บและการป้องกัน” เขียนโดย ดร.หงซานเปิ่นศาสตราจารย์ด้านโภชนาการ มหาวิทยาลัยสิงคโปร์กล่าวถึงผลร้ายที่เกิดจากไมโครเวฟว่า ในประเทศรัสเซียเยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ ค้นพบว่า คลื่นไมโครเวฟจะทำให้สมองเสื่อม ความยาวของคลื่นสมองสั้นลง และบนฉลากขวดนมสำหรับเลี้ยงทารก มีการระบุอย่างชัดเจนว่า ห้ามใช้เตาไมโครเวฟต้มน้ำให้เดือด เนื่องจากคลื่นไมโครเวฟ จะไปทำลายสารอาหารที่มีประโยชน์ในนมเสียหมด

จากการวิเคราะห์ข้อมูลเรื่อง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน โดย ศ.น.พ.สุรพล อิสรไกรศีล สาขาวิชาโลหิตวิทยาภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช พบว่า การสัมผัสหรือเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ภายในบ้านเรือนที่มีคลื่นแม่เหล็ก เช่นการใช้เครื่องเป่าผม คอมพิวเตอร์โทรศัพท์มือถือ เตาไมโครเวฟและการอาศัยอยู่ใกล้บริเวณที่มีสายไฟฟ้าแรงสูง จะทำให้เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด AML ส่วนปัจจัยอื่นๆ ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยยะสำคัญ

3. โทรศัพท์มือถือ
ในต่างประเทศมีรายงานผลทางวิทยาศาสตร์และการวิจัย ออกมาอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับอันตรายจากการใช้โทรศัพท์มือถือ เนื่องจากโทรศัพท์มือถือสามารถแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาได้ และเป็นรังสีชนิดเดียวกับเตาไมโครเวฟ ซึ่งเป็นคลื่นความร้อนทำลายเซลล์ดีหลายชนิด เพียงแต่มีปริมาณรังสีที่น้อยกว่าเตาไมโครเวฟเท่านั้นผล

จากการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า รังสีไมโครเวฟสามารถทำลายเซลล์ประสาทและเซลล์ตัวอ่อน ที่อยู่ในครรภ์มารดา ทำให้เป็น “โรคต้อกระจก” เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของโลหิต และยังเป็นสาเหตุของความอ่อนแอ ในระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วยหน่วยงานวิจัยเทคโนโลยีของโทรศัพท์ไร้สาย หรือ “WTR” (Wireless Technology Research) ได้ทำการศึกษาผลข้างเคียงจากการใช้โทรศัพท์มือถือมานานร่วม 7 ปี ก่อนจะมีรายงานสรุปผลออกมาสู่สาธารณชนว่า รังสีไมโครเวฟที่แพร่ออกมาจากเครื่องโทรศัพท์มือถือนั้น มีฤทธิ์ทำลายสารพันธุกรรมในเม็ดเลือด แต่สิ่งที่น่ากลัว ไม่ใช่ระดับความถี่ของรังสีไมโครเวฟ แต่เป็นช่วงระยะเวลาของการใช้งาน ดังนั้น ผู้ที่ใช้โทรศัพท์มือถือคุยต่อเนื่องกันนานๆ มีโอกาสเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นโรคเนื้องอกในสมองชนิดหนึ่ง เรียกกันทางการแพทย์ว่า “Neuroepithelial Tumors” และดร.เล็นนาร์ท ฮาร์เดลล์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งจากสวีเดน กล่าวว่า มีข้อบ่งชี้ทางชีววิทยาว่า รังสีไมโครเวฟจากโทรศัพท์มือถือ มีความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกในสมองสูงถึง 2.5 เท่า

4. เครื่องถ่ายเอกสาร
เครื่องถ่ายเอกสารเป็นอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่ง ที่พนักงานออฟฟิศจะต้องสัมผัสอยู่บ่อยครั้ง คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์กิจกรรม 5 ส. กองทัพเรือ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เครื่องถ่ายเอกสารเป็นอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพผู้ใช้โดยไม่รู้ตัวจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามและเพิ่มความระมัดระวังในการใช้ให้มากขึ้น อันตรายที่เราจะได้รับจากเครื่องถ่ายเอกสารมีดังนี้
1. ก๊าซโอโซน เกิดจากการอัดและปล่อยประจุไฟฟ้าที่ลูกกลิ้งและกระดาษโอโซน บางส่วนเกิดจากการปล่อยแสงเหนือม่วง (UV)จากหลอดไฟฟ้าพลังงานสูงของเครื่องถ่ายเอกสาร ส่งผลให้เกิดความระคายเคืองต่อตา จมูก และคอ ทำให้หายใจสั้น วิงเวียน และปวดศีรษะเป็นสาเหตุของความล้าและการสูญเสียประสาทรับรู้กลิ่นด้วย คนที่มีโรคระบบทางเดินหายใจอยู่แู่ล้ว เช่น โรคหอบหืดไม่ควรสัมผัสกับโอโซน
2. ฝุ่นผงหมึก เครื่องถ่ายเอกสารระบบแห้ง ประกอบด้วยผงคาร์บอนผสมกับพลาสติกเรซิน ส่วนเครื่องถ่ายเอกสารระบบเปียกผงหมึก จะละลายในสารละลายอินทรีย์พวกปิโตรเลียม ซึ่งมีอันตรายจากส่วนประกอบที่เป็นสารเคมีทั้งสิ้น การหายใจเอาผงหมึกเข้าไปจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบหายใจ มีอาการไอและจามนอกจากนี้ สารไนโตรไพรินซึ่งพบในผงคาร์บอนดำ และไตรไนโตรฟูโอรีน (TNF) ก็เป็นที่เข้าใจกันว่า เป็นสารก่อมะเร็ง และเป็นสารที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม หรือมีผลทำให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์อีกด้วย
3. แสงเหนือม่วง (รังสียูวี) รังสีจะแผ่ออกมาจากหลอดไฟพลังงานสูงภายในเครื่อง ขณะที่มีการถ่ายเอกสาร ทำให้เกิดการอักเสบของกระจกตาและมีผื่นคันตามผิวหนัง แต่มีผลน้อยมาก
4. สารละลายอินทรีย์จำพวกปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน เป็นตัวทำละลายในผงหมึกของเครื่องถ่ายเอกสารระบบเปียกทำให้เกิดการระคายเคืองตา ผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจเกิดอาการแพ้และเป็นอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง
5. สารเคมีอื่นๆ เช่น ซีลีเนียม แคดเมียมซัลไฟด์ซิงค์ออกไซด์ และโพลิเมอร์ ซึ่งถูกเคลือบไว้ที่ลูกกลิ้งมีลักษณะเป็นสารนำแสง ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจส่วนต้น ตา และชั้นเยื่อเมือกของกระเพาะอาหาร ตลอดจนเป็นสารก่อมะเร็ง แต่สารเหล่านี้จะถูกปล่อยออกมาในปริมาณน้อยมาก เกินกว่าที่จะตรวจสอบได้
สรุปคืออุปกรณ์ต่างๆ ที่เราใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดอื่นๆสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้การเพิ่มความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตประจำวัน รวมถึงรู้จักใช้อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างชาญฉลาด จะช่วยให้เราได้รับความปลอดภัยและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างสูงสุด

แหล่งข้อมูลมาจาก http://www.zone-it.com/49547

วิธีแก้ windowรุ่นต่างๆให้ใช้ภาษาไทยได้

Windows บางตัวที่ถูกปรับแต่งไฟล์ภาษา ก็จำเป็นต้องไปก็อปไฟล์ภาษาจากแผ่นติดตั้ง WinXP ปกติ ซึ่งมีอยู่สองตัวคือ

1. ไฟล์ kbduk.dll ที่อยู่ในโฟลเดอร์ i386 ของแผ่นติดตั้ง WinXP ปกติ ก็อปมาวางที่ WINDOWS\System322. ไฟล์ Intl.inf ที่อยู่ในโฟลเดอร์ i386 ของแผ่นติดตั้ง WinXP ปกติ ก็อปมาวางที่ WINDOWS\inf (โฟลเดอร์ inf นี้ปกติจะถูกซ่อนอยู่ ต้องไปกำหนดใน Folder Option ไม่ให้ซ่อนโฟลเดอร์ของระบบก่อน)…ในการก็อปมาติดตั้งนั้นก็สั่งให้แทนไฟล์ตัวเก่าในเครื่องเลย จากนั้นค่อย Run 1.นำไฟล์ kbduk.dll ไปไว้ที่ windows\system32

2.นำไฟล์ Intl.inf ไปไว้ที่ windows\inf

3.ไปที่ Run ใส่
rundll32.exe setupapi,InstallHinfSection LANGUAGE_COLLECTION.COMPLEX.INSTALL 0000041e %WINDIR%\inf\intl.inf
กด ok

4.ไปเพิ่มภาษาที่ Regional and Language Options ตามปกติ
หลังจากนี้ค่อยทำการติดตั้งภาษาไทยและเลือกคีย์สลับภาษาได้ตามปกติ

แหล่งข้อมูล http://www.zone-it.com/38488

ออกกำลังกาย แก้โรคซึมเศร้าและมะเร็ง

นักวิจัยกลุ่มหนึ่งได้รายงานผลการศึกษาเกี่ยวกับการออกกำลังกายว่า จะช่วยรักษาภาวะผิดปกติเนื่องจากความซึมเศร้าขั้นรุนแรง โดยระบุว่าแม้การใช้ยาจะให้ผลเชิงบำบัดได้เร็วกว่า แต่ในระยะยาวการออกกำลังกายจะให้ผลดีเช่นกัน

ในการศึกษากลุ่มตัวอย่างชายหญิง 156 คน อายุ 50 ปีขึ้นไป แบ่งเป็น 3 กลุ่มย่อย กลุ่มแรกออกกำลังกายแบบแอโรบิก กลุ่มที่สองได้รับยาบรรเทาความซึมเศร้า กลุ่มที่สาม ใช้ทั้งยาและออกกำลังกาย หลังจากศึกษาผ่านไป 4 ปี ได้ผลสรุปว่ากลุ่มตัวอย่างทั้งหมดมีอาการดีขึ้น โดยกลุ่มที่ใช้ยาจะเห็นผลเร็วกว่า แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีก 16 สัปดาห์ การออกกำลังกายก็ใช้ผลดีเช่นกัน

นอกจากนี้ยังพบว่า การออกำลังกายยังช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมอีกด้วย ผลการวิจัยที่เมืองซีแอตเติลพบว่า ในกลุ่มตัวอย่างผู้หญิงวัยทอง การออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น ว่ายน้ำ จ็อกกิ้ง เดินเร็ว เดินบนเครื่อง โยคะ หรือขึ้นลงบันไดเป็นประจำ วันละ 45-60 นาที ช่วยให้ระดับเอสโตเจน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งเต้านมลงได้ ร้อยละ 17 นอกจานี้การออกกำลังกายยังมีประโยชน์ป้องกัน มะเร็งเต้านมในหญิงวัยเจริญพันธุ์ได้อีกด้วย

ผักโขมช่วยให้ตาแก่ช้า

จักษุแพทย์ สตีเวน จี แพรตต์ แห่งโรงพยาบาลสคริปป์เมโมเรียล ในแคลิฟอร์เนีย ได้ศึกษาพบว่าผักโขมมี ลูทีน และ เซอักแซนทิน อยู่จำนวนมาก โดยสารแคโรทีนนอยด์ ทั้งสองนี้มีสรรพคุณช่วยชะลอความเสื่อมของดวงตา ซึ่งสาเหตุใหญ่ทำให้คนอายุ 65 ปี ขึ้นไปสูญเสียการมองเห็น

งานวิจัยนี้สอดคล้องกับการศึกษาของแพทย์หญิง โจฮันนา เซดดอน และเพื่อนนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่ระบุว่า ผู้ได้รับลูทินวันละ 6 มิลลิกรัม จะลดความเสี่ยงจากโรคดวงตาเสื่อมได้ถึง ร้อยละ 43 เที่บยกับพวกที่ได้รับลูทินต่ำกว่านี้ นอกจากผักโขมแล้ว ผักสดที่อุดมไปด้วยลูทิน และเซอักแซนทินก็มี คะน้า ผักบุ้ง แครอท ฟักทอง เทอร์นิป ฯลฯ

เคล็ดลับการฉีดน้ำหอมให้ติดทนนาน

1. ควรฉีดน้ำหอมวันละ 2-3 ครั้ง ไม่ควรคิดว่าการฉีดน้ำหอมครั้งหนึ่งจะอยู่ได้นานทั้งวัน สารกันระเหยที่ใส่ในน้ำหอมใช้เพื่อให้น้ำหอมติดทนบนผิว นานที่สุดเท่าที่จะเป็นได้


2. ควรฉีดน้ำหอมตามจุดชีพจร เช่น ด้านในข้อมือ ข้อศอก ข้อพับใต้ติ่งหู (ไม่ใช่หลังใบหู)


3. การฉีดพรมน้ำหอมหลังทาโลชั่นบำรุงผิวจะทำให้น้ำหอมติดทนนานขึ้น


4. ถ้าผิวแพ้น้ำหอม ให้ฉีดน้ำหอมลงบนผ้าเช็ดหน้า แล้วใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้า หรือกระเป๋าถือ


5. ห้ามถูน้ำหอมให้ซึมเข้าไปในผิว เพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้น้ำหอม "ช้ำ"ควรฉีดน้ำหอมลงบนผิว และปล่อยให้แห้งเองตามธรรมชาติ


6. ใช้น้ำหอมที่ต่างกลิ่นกันในแต่ละโอกาสหรืออารมณ์ เช่น ใช้น้ำหอมกลิ่นหนึ่งสำหรับกลางวัน และอีกกลิ่นหนึ่งสำหรับกลางคืน


7. รู้จักใช้น้ำหอมอย่างสร้างสรรค์ เช่น ฉีดลงบนกระดาษเขียนจดหมาย ก่อนพับใส่ซอง ฉีดพรมบนผ้าปูที่นอนก่อนเข้านอน ฉีดเบาๆ ที่หลอดไฟก่อนเปิดไฟ ฉีดที่เทียนไขก่อนจุด เป็นต้น



ที่มา http://writer.dek-d.com/kim_potter/story/viewlongc.php?id=310107&chapter=46


10 เทคนิคการใช้ internet Explorer

1. แสดงพื้นที่บน internet Explorer ให้มากที่สุดให้กด keyboard F11 เพื่อขยายเต็มหน้าจอ กดอีกครั้งจะเป็นการกลับสู่สภาพเดิม

2. ค้นหาข้อมูลใน web ที่กำลังใช้งานเราสามารถ search ข้อมูลใน web ที่กำลังเข้าไปดูอยู่ได้ โดยการกด keyboard Ctrl+F

3.ปุ่มใดแทนคำสั่ง back ได้ ปุ่ม Backspace ใน keyboard สามารถใช้ทดแทนคำสั่ง back เวลา surt net ได้

4.ปิด window ให้เร็วดังใจ ใช้ปุ่ม Ctrl+W ใน keyboard เพื่อปิด window ที่กำลังใช้งานอยู่ได้ครับ ไม่จำเป็นต้องกดปุ่ม close ก็ได้

5. ดู address bar ว่าไปที่ไหนมาบ้าง address bar คือตำแหน่งที่ใช้ในการพิมพ์ url ของ web site ต่าง ๆ.. เราสามารถดูได้ว่าเคยพิมพ์อะไรไปบ้าง โดยการกดปุ่ม keyboard F4 โปรแกรมจะแสดงรายละเอียดให้ทราบ

6. save URL ให้เร็วที่สุด คุณสามารถกดปุ่ม keyboard Ctrl+D เพื่อ save ที่อยู่ใน web site ที่คุณดูอยู่ในปัจจุบันได้ (เผื่อคราวหน้าจะได้ เยี่ยมไปแวะชมอีกได้สะดวกไงครับ)

7. ส่ง web ถูกใจไปให้เพื่อน คุณทราบหรือไม่ว่า web page ต่าง ๆ ที่เราแวะเข้าไป สามารถส่งไปให้เพื่อนดูได้ เพียงแค่เลือกเมนู File เลือก Send และเลือกหัวข้อ Page by Email แค่นี้เพื่อนคุณก็จะได้รับ web ที่มีหน้าตาเหมือนกับที่คุณกำลังดูอยู่ แจ๋ว! ไหมค่ะ

8. เลื่อนดูหน้า web อย่างรวดเร็ว ปกติเวลาจะดูรายละเอียดของ web page แต่ละหน้า จำเป็นต้องใช้เม้าส์คลิกลาก ขึ้น-ลง ด้านบนสุด หรือล่างสุด ทำให้ไม่สะดวกนักสำหรับผู้ไม่ถนัดในการใช้เมาส์ ลองกดปุ่ม keyboard ที่ชื่อว่า Home หรือ End ดู คงช่วยอะไรคุณได้บ้าง..

9. อยาก save ภาพเป็น wallpaper บางครั้งเราแวะไปเยี่ยมชม web site บางแห่ง แล้วถูกใจในรูปภาพนั้น ๆ และอยากจะนำกลับมาเป็น wallpaper สำหรับโปรแกรม Internet Explorer มีตัวช่วยให้คุณครับ เพียงแค่กด คลิกขวาที่บริเวณภาพ จากนั้นเลือกคำสั่ง Set as wallpaper

10. เลื่อนขึ้น-ลง ทีละนิด web page บางหน้าอาจมีความยาวมาก การจะเลื่อนหน้าทีละนิดเพื่ออ่านข้อมูล ถ้าจะใช้เมาส์ บางทีอาจไม่สะดวกนัก ลองใช้ keyboard ปุ่มที่ชื่อว่า Page Up หรือ Page Down ดูซิค่ะ น่าจะดีกว่าเยอะเลย..

อะไรคือสิ่งที่ฉุดรั้งเราจากความสำเร็จ


ใคร ๆ ก็อยากประสบความสำเร็จกันทั้งนั้น เมื่อไม่สามารถหาความสำเร็จด้วยตัวเองได้ จึงต้องหาที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ โดยการพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น จึงได้เห็นผู้คนมากมายมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อขอพรด้วยประโยคซ้ำ ๆ ซาก ๆ คล้าย ๆ กัน แต่หลังจากที่ขอพรจากท่านแล้ว มีสักกี่คนกันคะ ที่จะตั้งใจทำงานในหน้าที่ของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น หรือพัฒนาความสามารถของตนเองให้สูงขึ้นจนกระทั่งประสบกับความสำเร็จที่คาดหวังไว้

หลายคนมักกล่าวอ้าง หรือโทษผู้อื่นว่า เป็นตัวการขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายบ้าอำนาจ ลูกน้องขี้เกียจ เพื่อนร่วมงานตัวแสบ หรือ แม้แต่ลูกค้าเรื่องมาก ก็ถูกนำมาเป็นข้ออ้างฉุดรั้งความก้าวหน้าของพวกเราได้ทั้งสิ้น

1. ความกลัว
บางคนมีความเคยชินกับสิ่งเดิมที่คุ้นเคย หรือเรียกว่าตกอยู่ใน comfort zone หรือติดหลุมสบาย จนไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง คนที่ต้องการความสำเร็จต้องมีความกล้าที่จะ เปลี่ยนแปลง เป็นผู้ที่สามารถดึงตัวเองขึ้นมาจาก comfort zone ได้ หากยึดติดกับสิ่งเดิม ๆ ไม่ กล้าเปลี่ยนแปลงก็จะไม่สามารถพัฒนาหรือยกระดับความสามารถของตัวเองได้เลย ความกลัว กับความกล้านั้นผูกติดกันเสมือนหน้ามือกับหลังมือ สุดท้ายจึงขึ้นอยู่กับคุณล่ะค่ะว่า จะเปิดใจให้ความรู้สึกไหนขึ้นมาโชว์ตัว

2. ความอาย
มีคนมากมายที่พลาดโอกาสสำคัญของชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะไม่มั่นใจในตนเอง และไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรค หรือสิ่งที่มาท้าทาย ยึดติดกับข้อมูลเก่า ๆ จนกลายเป็น ข้อจำกัดของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่เป็นคนเก่ง และมีความสามารถมากมาย เมื่อไรก็แล้วแต่ที่คุณรู้สึก เขินอายที่จะต้องลุกขึ้นมาทำสิ่งที่แปลกแตกต่างไปจากเดิม ให้บอกกับตัวเองไปเลยค่ะว่า หนึ่ง สอง สาม เอ้า ลุย

3. ความคิดหรือความเชื่อ
ความคิดหรือความเชื่อที่ฝังใจก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่จะเป็นตัวปิดกั้นความสำเร็จของคุณ ทุกครั้งที่คุณ พูดหรือคิดกับตัวเอง ก็เสมือนเป็นการโปรแกรมตัวเองให้มีความเข้าใจตามนั้น ดังนั้น เราจึงควร พูดกับตัวเองบ่อย ๆ ด้วยคำพูดที่ดี และให้กำลังใจกับตัวเอง เพื่อให้เกิดความฮึกเหิม และเชื่อมั่น ว่าเราจะต้องเอาชนะตัวเองและอุปสรรคต่าง ๆ ได้

เคล็ดลับในการทำงานให้เสร็จทันเวลาในแต่ละวัน


การทำงานให้เสร็จทันเวลาในแต่ละวัน ต้องอาศัยเคล็ดลับ ไม่ยาก ต่อให้คุณจะยุ่งมากแค่ไหน คุณก็สามารถทำให้งานต่าง ๆ เสร็จได้ไม่ยากเลย มาดูเคล็ดลับความสำเร็จกันเถอะคือ ความสำเร็จอยู่ในมือคุณแล้ว มาดูกันเลย ...

++เตรียมพร้อม++
คือเตรียมรายการที่ต้องทำในแต่ละวัน จัดลำดับความสำคัญ แล้วทำสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน..

++อย่ารับงานมาก++
ไม่ทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ควรตัดสินใจเลือกทำงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งให้เสร็จก่อนที่จะทำงานอื่นต่อไป..

++อย่าหวังว่าทำได้ดีที่สุด++
พราะการทำทุกอย่างให้ดีไม่มีที่ตินั้น ต้องใช้เวลาและพลังงานมาก ดังนั้นอย่าเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญจนกลายเป็นการบริหารเวลาไม่เป็น..

++รู้จักปฏิเสธ++
หากไม่สามารถทำได้ทันเวลาหรือเป็นงานที่เกินกำลัง..

++อย่าเสียเวลากับกองกระดาษ ++
ไม่ควรเก็บเอกสารทุกอย่างรวมกันไว้เต็มโต๊ะ เพราะเมื่อต้องการใช้เอกสารสำคัญจะต้องเสียเวลานาน ควรจัดทำเป็นแฟ้มเอกสารเพื่อจะใช้ได้ง่าย..

++หาคนช่วย++
ไม่ต้องกลัวเสียหน้า ถ้าเราเดือดร้อนแล้วบอกเพ ื่อน เพื่อนที่ดีจะช่วยเรา และเขาก็จะพอใจที่เราวางใจเขาให้ช่วย.. และ

++พักผ่อนบ้าง++
เช่น ถ้าเป็นเวลาทำงาน ควรหาเวลาพักสมองบ้าง ถ้าเป็นหลังเลิกงานก็หาสิ่งที่ทำแล้วสบายใจ เช่นอ่านหนังสือหรือดูหนังฟังเพลง…

ที่มา http://writer.dek-d.com/kim_potter/story/viewlongc.php?id=310107&chapter=5



9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์

โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด

ผู้หญิงสมัยนี้ อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่าง ด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัดเรื่องอาหารการกิน แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่ายๆ ต่อไปนี้

1. จิบน้ำบ่อย ๆ (Drink water very often) สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ

2. กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3) คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวมน้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day)หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention) การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิดระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้นทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆเพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ (Laugh and Smile)ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday)สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่นกินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อยๆเมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress) ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมองการให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things in>life every day) ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่นขอบคุณที่ มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดีขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดีๆให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ (Deep breath) สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆจึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมองควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20%การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

ที่มา http://writer.dek-d.com/kim_potter/story/viewlongc.php?id=310107&chapter=2

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วิธีดูแลความงามก่อนนอน

1. นวดกดจุดบริเวณใบหน้าก่อนนอน จะช่วยให้รู้สึกสบายยามหลับและสดชื่นยามตื่นนอนตอนเช้า ใช้ปลายนิ้วนางนวดวนเป็นวงกลมเล็ก ๆ ระหว่างคิ้ว ขมับ ร่องจมูก คาง และมุมปาก ล้างออกด้วยน้ำอุ่นแล้วซับหน้าให้แห้ง

2. การทาไนท์ครีมก่อนนอนนั้นมีประโยชน์ต่อผิวหน้ามาก เพราะนอกจากสารบำรุงในเนื้อครีมจะช่วยปรนนิบัติผิวที่อ่อนล้าแล้วด้วยคุณสมบัติที่เข้มข้นกว่าเดย์ครีม จะช่วยให้ผิวได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่ในขณะที่ผิวมีความชื้นเล็กน้อย จะช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นบนผิวได้ดีกว่า ซึ่งจะรู้สึกได้ว่าผิวเนียนนุ่มขึ้นในตอนเช้า

3. ไม่จำเป็นว่าเนื้อครีมที่หนาและเข้มข้นจะต้องเป็นครีมที่มีคุณค่าการบำรุงเสมอไป การเลือกไนท์ครีมควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวและลูบไล้เพียงบางเบา เพื่อที่หน้าจะได้ไม่มันเยิ้มในตอนเช้า

4. ไม่ควรทาแป้งแต่งหน้าก่อนนอน และหากไนท์ครีมทำให้รู้สึกเหนอะหนะ ให้ใช้กระดาษซับมันค่อย ๆ ซับออก

5. เคล็ดลับผิวอ่อนกว่าวัยของสาวชาวจีน คือ การนอนหงายให้เป็นนิสัย แต่ถ้าหากติดท่านอนตะแคงให้เปลี่ยนปลอกหมอนฝ้ายธรรมดาเป็นปลอกหมอนผ้าไหมหรือซาติน ความลื่นของเนื้อผ้าจะไม่ทำให้เกิดรอยกดทับบนใบหน้า เมื่อพลิกตัวไปมา

6. รักษาความสะอาดของที่นอน หมอน และข้าวของเครื่องใช้บนเตียงให้สะอาดอยู่เสมอ หมอนที่เต็มไปด้วยฝุ่นนอกจากจะทำให้หายใจไม่สะดวกแล้ว ยังเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค แบคทีเรีย ที่จะทำให้ใบหน้าอ่อนแอ แพ้ง่าย เป็นสิวรักษาไม่หายขาดอีกด้วย

7. ใช้มาสก์แช่เย็น หรือสำลีแผ่นชุบน้ำชาปิดที่เปลือกตาไว้สัก 15 นาที ก่อนนอน ลดอาการบวมใต้ตาและเพื่อดวงตาแจ่มใสในยามเช้า

8. ไม่ควรดื่มน้ำก่อนนอนมากเกินไป เวลานอนให้หนุนหมอนให้สูงขึ้น เพื่อป้องกันของเหลวคั่งค้างบนใบหน้า ใบหน้าจะได้ไม่บวมในตอนเช้า

9. การทำสมาธิก่อนนอนสัก 10 นาที อยู่ในที่อากาศปลอดโปร่ง หายใจเข้า – ออกลึก ๆ และเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอ จะช่วยให้จิตใจสงบผ่อนคลาย นอนหลับสบายขึ้น เมื่อจิตใจปลอดโปร่งไร้กังวล ก็ย่อมส่งผลให้การทำงานของร่างกายและผิวพรรณดีตามไปด้วย

10. ปลุกร่างกายให้กระฉับกระเฉง ด้วยการออกไปยืดเส้นยืดสาย สูดอากาศบริสุทธิ์รับแสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้า พร้อมเริ่มต้นวันใหม่อย่างสดชื่น

เพียงเท่านี้ ก็ทำให้หลับอย่างสบาย และตื่นขึ้นมาอย่างมั่นใจแล้วล่ะ.

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552

วิธีสร้าง Blog แบบง่ายๆ

1. ไปที่ https://www.blogger.com/start สร้างบล็อกของคุณทันที

(คุณต้องมีบัญชีผู้ใช้ Google ก่อนนะค่ะ ถ้ามีแล้วก็ลงชื่อเข้าใช้ได้เลยคะ)









2. ทำตามขั้นตอน 1. สร้างบัญชีGoogle









กรอกข้อมูลต่างๆให้ครบ แล้วคลิกที่ ดำเนินการต่อ

3. ทำตาม ขั้นตอนที่ 2 คือ



1. ตั้งชื่อเว็บบล็อกของคุณ







พิมพ์ ชื่อเว็บบล็อก, ที่อยู่บล็อก (URL) และรหัสยืนยันที่ปรากฏอยู่ เสร็จแล้ว คลิกที่ "ดำเนินการต่อ"




2. เลือกแม่แบบให้กับบล็อกของคุณ





คลิกที่ ดำเนินการต่อ


4. แล้วคลิกที่ เริ่มต้นการเขียนบล็อก




ง่ายไหมค่ะ แค่นี้คุณก็มีบล็อกเป็นของคุณเองแล้วนะค่ะ

งานที่2

URL 1.1 เว็บไซต์ที่บอกเวลาทั่วโลก http://www.ieostudyabroad.com/work-travel-program/work-travel-worldtimezone.html
1.2 แผนที่ สถานที่ท่องเที่ยว http://maps.google.com/maps?f=q&source=s_q&hl=en&geocode=&q=%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1&sll=37.0625,-95.677068&sspn=21.180361,35.859375&ie=UTF8&ll=41.932422,12.471714&spn=0.019347,0.035019&t=h&z=14&iwloc=poi0
1.3 เว็บไซต์ที่บอกอุณหภูมิทั่วโลก http://thai.wunderground.com/

งานที่1

ส่ง E-mail
เรื่องประวัติส่วนตัว
วันที่ 23 มี.ค. 2552

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

10 วิธีเพื่อ หุ่นดี หุ่นสวย

1. หากว่าการลดน้ำหนัก มันสำคัญสำหรับคุณมาก คุณก็จะสามารถเขียนมันออกมาได้ ถ้าคุณยังยังไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม แสดงว่ามันยังไม่สำคัญกับคุณมากพอ คุณก็แค่จะลดไปงั้นแหละ ก็เผื่อว่าชั้นจะผอม ขอให้เขียนแบบจริงๆจังๆ และบอกถึงเป้าหมายให้ชัดเจน ไม่เอาแบบ "ข้อที่หนึ่ง ชั้นไม่อยากตัวอ้วนเป็นหมูแบบนี้" นี่เป็นการบอกสิ่งที่คุณไม่ต้องการ ลองเอาแบบ "ข้อที่หนี่ง ชั้นอยากมีหุ่นเลิศ เฉิดฉายในชุดสีดำ ตอนวันคริสมาสในปีนี้" อย่างงี้

2. เชื่อมั่นในตนเอง เชื่อในสิ่งที่คุณจะทำ บ่อยแค่ไหนที่มัวแตชม คนอื่นที่เค้าลดน้ำหนักแล้วสำเร็จ มัวแต่ไปชื่นชมคนอื่น หรือความสำเร็จของเขา ให้คิดทันทีว่า "ชั้นอยากจะทำอย่างนั้นได้บ้างจัง เมื่อเค้าทำได้ชั้นก็ต้องทำได้สิ" เราก็คนอ่ะนะ ก็ต้องคิดแบบนี้กันมั่ง อย่ามัวแต่ไปอิจฉาคนอื่น มัวจำกัดความสามารถของตัวเองล่ะ รู้มั้ยว่า เรื่องง่ายๆแบบนี้ใครๆก็ทำได้ คุณก็ทำได้ ถ้ามีความตั้งใจและมีเป้าหมายที่แน่นอน

3. สังเกตตัวเอง ดูซิว่าอะไรที่ทำให้คุณกินแบบหยุดไม่อยู่ ถ้าเป็นสถานที่ เวลา อารมณ์ หรือคนที่อยู่ด้วยแล้วล่ะก็ ดูสิว่า มันเป็นที่ทำงาน ที่บ้าน ในวันหยุด ตอนกลางคืน ตอนอยู่กับใครหรืออยู่เหงาอยู่คนเดียว คิดแล้วก็ถามตัวเอง เพราะคำตอบก็อยู่ในคำถามนั่นแหล่ะ พอพบคำตอบแล้วก็อย่าลืมพยายามหลีกเลี่ยงมันซะ ก็พยายามยับยั้งชั่งใจ อย่าปล่อยปากไปกับสถานะการ พอถึงเวลาที่จะต้องอยู่ในสถานะการเหล่านั้น ให้ท่องเหตุผล 3 ข้อ (ที่ให้คุณเขียนไปแล้วตั้งแต่ข้อที่ 1) มาดังๆในใจ อาจจะช่วยลดอาการตามใจปากของคุณได้

4. ค่อยๆ เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน คุณมีเวลาเกือบปีในการลดน้ำหนัก อย่าคิดว่า "โอ้ยเหลือเวลาตั้งมาก" แบบนี้ไม่เอา ถ้าให้คุณเลือกลดน้ำหนักภายใน 3 เดือนโดยการอดอาหารแบบทรมาณมากจนในที่สุดก็ต้องล้มเลิก หรือค่อยๆลดค่อยๆเป็นไปเอาสัก ให้ลดลงเดือนละ 1กิโล โดยการค่อยๆปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร แบบจริงๆจังๆ อันนี้จะทำให้เห็นผลดีที่สุด...ขอบอก ค่อยๆเปลี่ยนของในตู้เย็นเป็นของแบบ low fat แล้วผักผลไม้เข้าไปเยอะๆ ด้วย พวกขนมจุกจิกเนี่ยะ โละออกให้หมด หาอาหารเพื่อสุขภาพเข้ามาเพิ่มทุกๆ วัน จำไว้ว่า เรากินอะไรไปก็ได้อย่างนั้นแหละ

5. ลดปริมาณอาหารลง คุณต้องพยายามควบคุมปริมาณอาหารที่กินให้ได้นั่นเอง จริงๆแล้ว ที่น้ำหนักคุณมากอย่างเงี้ย ก็เพราะกินมากนั่นแหล่ะ อย่างบางที คิดว่ากินสลัดไม่อ้วนหรอก แต่ก็กินซะจานมโหระทึกเลย จะลดลงได้งั้ย เวลารับประทานขอให้ดูที่ปริมาณด้วย ลดมันลงมั่ง ลองใช้จานที่เล็กลงหน่อย ชั่งน้ำหนักอาหารก่อนกินถ้าทำได้ จะได้รู้น้ำหนักที่อาหารที่เรากินเป็นประจำ และรู้ว่าเรากินไปขนาดไหนแล้ว

6. กินน้ำอย่างน้อย 1 ลิตรต่อวัน น้ำไม่ได้ทำให้คุณอิ่มหรอกนะ แต่มันช่วยให้ตับไตคุณทำงานดีขึ้นต่างหาก แล้วยังบำรุงผิวอีก การเสียน้ำทำให้คุณไม่สดชื่น การเผาผลาญแคลอรี่ต่ำลง สมาธิกับความจำ ก็จะสั้นลงด้วย เอ้า..ลุกไปกินน้ำซะหน่อย

7. ทานมื้อเช้าทุกวัน การอดข้าวเช้า ร่างกายจะส่งสัญญาณว่า คุณรู้สึกหิวแทบบ้า เพราะไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องมาหลายชั่วโมงแล้ว เมื่อรับประทานมื้อกลางวัน ก็จะทำให้คุณรับประทานเข้าไปมากเกินมื้อปกติ การอดอาหารมื้อเช้า จะทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายเราจะทำงานช้าลงด้วย ทำให้เป็นคนอ้วนง่าย

8. ออกกำลังกายให้ติดเป็นนิสัย ถ้าคุณทำให้เหมือนกับที่คุณติดละครทีวีสักเรื่องนึงได้ดีมาก เพราะมันเป็นอาวุธชั้นยอด ที่จะทำให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม และยังไม่กลับมาอ้วนอีกด้วย ไม่มีอะไรดีกว่านี้ไปอีกแล้ว ค่อยๆ เริ่มทีละท่าสองท่า แล้วค่อยๆ เพิ่ม อาจเริ่มจากเดินนิดหน่อย หรือจะเริ่งจากเล่นกีฬาที่คุณชอบก่อนก็ได้ (ห้ามเป็นกีฬาในร่มอย่างไพ่เด็ดขาด )

9. บำรุงกล้ามเนื้อบ้าง ควรการออกกำลังกายแบบเน้นการใช้กล้ามเนื้อ สัก 2-3 วันต่ออาทิตย์ ทำให้กล้ามเนื้อมีกำลังเพิ่มขึ้น รู้มั้ยว่า จะทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ ได้มากขึ้นตลอดทั้งวัน แม้แต่ตอนนอน ก็ช่วยในการเผาผลาญแคลอรี่เราเพิ่มด้วยนะ

10. อย่าเอาแต่สบาย พยายามทำอะไรที่ต้องใช้กำลังทำบ้าง ไม่ได้บอกให้คุณไปตบตีกับใครนะคะ หมายความว่า ลองจอดรถไกลๆดูบ้าง ลองขึ้นบันไดแทนลิฟต์ เช็ดประตูหน้าต่างรอบบ้าน ทำงานบ้านเองแทนที่จะให้คนใช้ทำ หาอะไรที่มันทำยากขึ้น ต้องใช้ความพยายามมากกว่าสิ่งที่ทำๆอยู่ทุกวัน

ถึงตรงนี้คุณคงจะเห็นหุ่นดีๆ ของตัวเอง ลอยมาลางๆแล้วใช่มั้ย วิธีที่แนะนำมานี่ รับรองไม่ยากและดีสำหรับร่างกายแน่ เอาหล่ะ พร้อมรึยังที่จะมีหุ่นสวยๆ ไว้เดินอวดให้คนอื่นๆ ได้อิจฉามั่ง มาแข่งกันมั้ย ว่าใครจะทำได้ก่อนกัน แต่เราน่ะ ทำข้อหนี่งเสร็จแล้วนะ

ที่มา http://leelacheewit.com/www/boardbeauty.asp?id=998

ขั้นตอนการทำความสะอาดใบหน้า

สิ่งสำคัญที่สุดของใบหน้าคุณ
คือการมีใบหน้าที่สดใส ปราศจากความมันบนใบหน้า เต่งตึง อิ่มเอิบไม่หยาบหรือแห้งกร้าน เคล็ดลับในการทำความสะอาดผิวหน้า ลองเสียเวลาสัก 15 นาทีในตอนเช้าและเย็น

tips1 ใช้นมสด ที่ไม่ได้ผ่านความร้อน แตะบนสำลี หมุนวนบนใบหน้า คอ แก้ม 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น

tips2 แตงกวาฝาน นำมาเช็ดวนเป็นวงกลมเบาๆบนใบหน้า 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น

tips3 ฝานมะเขือเทศครึ่งลูก นำมาวนๆบนใบหน้า คอ 15 นาที และล้างออกด้วยน้ำเย็น

tips4 มะนาวฝาน นำมาคลึงๆ ค่อนข้างแรง บนหน้า หรือคอ แต่แนะนำให้ทำ 3-4 วันครั้ง ภายหลังจากที่ล้างหน้าด้วยนม หรือผลเหล่านี้แล้ว ให้ใช้ oat bran หรือ besan ผสมน้ำเปียกๆ แล้วล้างพร้อมถูเบาๆ เพื่อขจัดเซลที่ตายออก ห้ามใช้สบู่ ใช้แต่น้ำเย็นที่สะอาด

tips5 ใช้แป้งข้าวเจ้า ทำความสะอาด ถ้าหน้ามัน ใช้มะนาวช่วย

tips6 ใช้ buttermilk นวดคลึงบริเวณใบหน้า แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

tips7 ใช้ก้อนน้ำแข็งธรรมดา คลึงและล้างใบหน้า

tips8 วางแอปเปิลฝานบางๆ บนใบหน้าคุณ ทิ้งไว้ 15 นาที เพื่อทำให้หน้าเต่งตึงกระชับ แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นธรรมดา

กลเม็ด... เทคแคร์เส้นผม

1.แปรงผม ก่อนสระผมทุกครั้ง แปรงผมเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนเส้นผม และสางเส้นผมที่พันกันออกก่อน

2.สระผม ควรใช้แชมพูและครีมนวดที่ผสมอาหารชีวภาพ เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและบำรุงเส้นผมไปด้วยในตัว เพราะสารอาหารชีวภาพจะถูกดูดซึมแล้วเข้าถึงรากและตลอดเส้นผม

3.นวดศีรษะ นวดหนังศีรษะขณะอาบน้ำใต้ฝักบัว เพื่อกระตุ้นระบบหมุนเวียน ช่วยให้มีสุขภาพผมที่ดีขึ้น และช่วยลดความเครียด ใช้ปลายนิ้วนวดหนังศีรษะเบา ๆ โดยเริ่มจากด้านหน้าแล้วนวดลงไปถึงต้นคอ

4.เพิ่มความชุ่มชื้น ชโลมคอนดิชันเนอร์เฉพาะตรงปลายผม และส่วนที่เลยปลายผมขึ้นมาครึ่งหนึ่งของความยาว (เพราะเส้นผมส่วนที่อยู่ใกล้หนังศีรษะ น่าจะมีน้ำมันที่ให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติอยู่แล้ว) การทาคอนดิชั่นเนอร์ใกล้ ๆ รากผมจะทำให้ให้รู้สึกว่าเส้นผมเป็นมันเยิ้มหลังจากสระผมไม่นาน

5.เพิ่มความเงางาม เพิ่มความเงางามและขจัดเส้นผมพันกัน ด้วยการใช้น้ำส้มสายชูหนึ่งช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่น 600 มิลลิลิตร แล้วราดลงบนเส้นผม ใช้หวีสางให้ทั่วแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

6.ล้างด้วยน้ำเย็น น้ำร้อนทำให้ต่อมรากผมขยายและสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติไป ทำให้ผิวผมแห้งหยาบดูไม่มีชีวิตชีวา ใช้น้ำเย็นล้างผมจะดีกว่า ความเย็นของน้ำจะช่วยให้ต่อมรากผมปิดตัว เส้นผมจะเงางามทั่วศีรษะ

7.ซับเบา ๆ อย่าใช้ผ้าขนหนูเช็ดผม เพราะผ้าขนหนูจะขโมยความชุ่มชื้น และทำลายความยืดหยุ่นของเส้นผม ให้ใช้ปลายนิ้วบีบน้ำบนเส้นผมออก แล้วใช้ผ้าขนหนูซับเบา ๆ วิธีนี้จะช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นบนเส้นผมไว้ได้

8.สางผม อย่าแปรงผมในขณะที่ผมเปียกเด็ดขาด เพราะขณะที่เปียก เส้นผมจะพองใหญ่กว่าปกติสองเท่า และจะทำให้ผมเสียได้ง่าย ใช้หวีซี่ห่าง ๆ สางผมเปียกที่แบ่งเป็นส่วน ๆ โดยเริ่มสางจากปลายผม

9.ปล่อยให้แห้ง ปล่อยให้เส้นผมแห้งตามธรรมชาติ เพราะเครื่องมือแต่งผมที่ใช้ความร้อนจะทำให้แกนผมเสีย บิดผมยาว ๆ ขึ้นไปรวบเป็นมวย เส้นผมจะเซ็ตตัวได้เองเมื่อแห้งแล้ว ถ้าผมสั้นก็ทาเจลแล้วหวีให้ทั่ว

10.กำราบผมตั้งชี้ เมื่อผมแห้งแล้ว ฉีดสเปรย์ลงบนหวีแล้วหวีผมให้ทั่ว วิธีนี้จะทำให้ปลายผมที่ตั้งชี้ลู่ลงไป ทำให้เส้นผมดูเงางาม เป็นระเบียบ และช่วยให้เส้นผมอยู่ทรงได้นานขึ้น

ที่มา
http://leelacheewit.com/www/boardbeauty.asp?id=1070

ผิวไหม้จากแดด


ผิวไหม้จากแดดเป็นการอักเสบของผิวหนังเนื่องจากถูกแสงแดด แสงแดดมีรังสีสำคัญสองชนิดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ามีผลเสียต่อผิวหนังคือรังสี UVB UVA หากได้รับรังสีเข้าไปมากๆก็จะทำให้เกิดผิวสี TAN ผิวไหม้จากแดด มะเร็งผิวหนัง คนที่เคยเป็นผิวไหม้จากแดดจะมีโอกาสเกิดเป็นมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้น 2 เท่า
การที่ผิวถูกแสงแดดเป็นประจำจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็น
มะเร็งผิวหนัง ตกกระ ฝ้า ผิวลอกรวมทั้งต้อกระจก
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันคือการหลีกเลี่ยงจากแสงแดด เช่นไม่ออกแสงแดดช่วงที่มีรังสีมากคือเวลา 10-15 น. ใส่เสื้อหลวมๆและเนื้อเสื้อแน่น ใส่หมวก ใส่แว่นกันแดด ทาครีมกันแดด


อาการของผิวไหม้จากแดด
อาการเบื้องต้นสำหรับผิวไหม้คือ ผิวจะร้อน แดงและเจ็บ การสัมผัสผิวหนังบริเวณดังกล่าวจะทำให้เกิดอาการเจ็บ อาจจะมีการสูญเสียสารน้ำและทำให้ขาดน้ำ หลังจากนั้นผิวจะพองและตกสะเก็ด


ผิวจะแดงและร้อน
บวมและคัน
รายที่เป็นมากผิวหนังจะพอง


หากมีอาการเหล่านี้ให้ปรึกษาแพทย์
มีไข้หนาวสั่น คลื่นไส้
ผิวหนังพองเป็นบริเวณกว้าง
ผิวไหม้ลุกลามหลังจากเจอแดด 24 ชั่วโมง
ผื่นเปลี่ยนเป็นสีม่วง
มีอาการช้อค


การดูแลตัวเอง

รับประทานยาแก้ปวดเช่น paracetamol aspirin brufen เพื่อลดอาการปวดและอาการบวม
ให้ดื่มน้ำมากๆ ควรหลีกเลี่ยงน้ำเย็นเพราะจะกระตุ้นให้เกิดอาการหนาวสั่น
ใช้ steroid ครีมทาบริเวณผิวหนัง
ประคบน้ำโดยใช้น้ำเย็นหรือน้ำธรรมดาประคบวันละหลายครั้งเพื่อลดความร้อน
หลีกเลี่ยงสบู่เพราะจะทำให้ระคายเคืองผิวหนัง หลังจากล้างเสร็จไม่ต้องซับเพราะจะทำให้ผิวลอก
ให้ทาครีม moisturizer หรือว่านหางจระเข้ทาหลังอาบน้ำ
อย่าแกะผื่น
ทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน
หลีกเลี่ยงแสงแดด


โรคที่แพ้แสง
โรคเหล่านี้เมื่อถูกแสงแดดจะทำให้เกิดผื่นหรือผิวไหม้จากแสงแดดได้ง่าย
พวกคนเผือก Albinism เนื่องจากเซลล์ผิวหนังของคนพวกนี้จะไม่มีเซลล์ melanin ไว้ป้องกันแสงแดด
โรค SLE
Porphyrias
โรคด่างขาว


ที่มา
http://lifestyle.kingsolder.com/health/beauty.asp?id=435&no=1

ครีมเพื่อหน้าขาว


หากท่านดูทีวีจะพบว่ามีการโฆษณาสรรพคุณของครีมเพื่อทำให้หน้าขาว ผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ออกมาอย่างมากมาย จนกระทั่งครีมเพื่อให้รักแรสีขาวขึ้น ก่อนที่ท่านจะใช้ครีมท่านต้องพิจารณาผิวพรรณท่านก่อน หากท่านผิวดำหรือผิวคล้ำไม่แนะนำให้ใช้ครีมลอกหน้าขาวเพราะนอกจากจะไม่ได้ผลแล้วยังอาจจะเกิดผลเสีย

ส่วนประกอบสำคัญของครีมเพื่อหน้าขาวมีดังนี้

1. กรดผลไม้หรือ Alpha Hydroxy Acid [ AHA ] กรดผลไม้นี้จะช่วยให้เซลล์ชั้นผิวสุดหรือเซลล์ที่ตายแล้วหลุดออกไป และมีเซลล์ใหม่งอกขึ้นมา ทำให้ผิวหนังสดใส หากใช้กรดผลไม้ขนาดต่ำอย่างต่อเนื่องจะทำให้ฝ้า กระและรอยด่างดำจางลง

การเลือกซื้อเครื่องสำอางที่มีกรดผลไม้

ในการเลือกซื้อเครื่องสำอางที่มีกรดผลไม้ผสมอยู่ท่านจะต้องเลือกกรดที่มีค่า pH ประมาณ 3-5 หากค่าต่ำกว่านี้จะเป็นกรดมากจะทำให้มีการระคายเคืองต่อผิวหนังมาก แต่หากค่า pH สูงกว่า 5 จะเป็นด่างทำให้ผิวหนังไม่ลอก นอกจากนั้นความเข้มข้นของกรดผลไม้ควรจะไม่เกิน 4 % หากต่ำกว่านี้ผิวจะไม่ลอก หากค่าความเข้มข้นอยู่ระหว่า 8-15% ไม่เหมาะสำหรับการใช้ประจำวันเพราะจะระคายเคืองมาก ความเข้มข้น ตั้งแต่20%ขึ้นไปเหมาะสำหรับการลอกหน้าข้อควรพิจารณาในการเลือกใช้เครื่องสำอางที่มีกรดผลไม้ผสม

-เมื่อจะเริ่มใช้เครื่องสำอางชนิดใหม่ให้เลือกขนาดเล็กที่สุดเพื่อดูการตอบสนองของผิวหนัง
-เครื่องสำอางที่มีกรดผลไม้ผสมไม่ควรจะมีแอลกอฮอล์ผสมเพราะจะทำให้ระคายเคืองมาก
-ในการลองใช้เครื่องสำอางใดๆไม่ควรใช้ที่ใบหน้า แต่ควรจะใช้กับด้านในของท้องแขนเพื่อทดสอบการตอบสนองของผิวหนัง
-ไม่ควรใช้สบู่ที่มีเม็ดทรายเพราะจะระคายเคืองต่อใบหน้า
-ไม่ควรใช้ผ้า หรือวัสดุอื่นใดถูกหน้า ให้ใช้ผ้าซับก็พอ
-หากท่าผิวแห้งแนะนำให้ใช้ครีม
-หากผิวมันให้ใช้โลชั่น หรือเยล


ขั้นตอนในการทาเครื่องสำอางที่มีกรดผลไม้

-ล้างหน้าให้สะอาดเพราะหากมีเครื่องสำอางตกค้างจะต้านฤทธิ์ของกรดผลไม้
-ไม่ควรทาเครื่องสำอางขณะหน้าเปียกเพราะผิวจะระคายเคืองมาก
-ใช้เครื่องสำอางแต่น้อยแล้วทาบริเวณที่ต้องการให้ทั่ว ไม่ต้องตบ ไม่ต้องนวด ไม่ต้องอบหน้า
-เริ่มต้นให้ทาวันละครั้งก่อน หากผิวระคายเคืองหรือลอกมากให้ทาวันเว้นวัน
-หลังจากทาไปได้ระยะเวลาหนึ่งยังไม่มีการลอกและไม่มีปัญหาเรื่องระคายเคืองให้เพิ่มเป็นทาวันละ 2 ครั้ง
-ต้องทายากันแดดร่วมด้วย
-เมื่อผิวหนังได้ผลเป็นที่น่าพอใจก็ให้ลดลงเหลือวันละครั้ง
-ไม่ควรทาเครื่องสำอางที่ผสมกรดผลไม้กับรอบด้วงตา และริมฝีปาก


2. ครีมกันแดด

3. Beta Hydroxy Acid [ BHA ] หรือกรด salicylic acid เนื่องจากเป็นกรดมากทำให้มีการลอกผิวหน้าลึกกว่ากรดผลไม้ และเกิดระคายเคืองต่อใบหน้า

การเลือกรองเท้า


ลักษณะรองเท้าที่ดี


รองเท้ามีประโยชน์ที่สำคัญ คือ ใช้ป้องกันเท้า เช่น ตะปูตำและลดการกระแทกเวลาเราเดินรองเท้าที่ดีต้องใส่พอดีกับเท้าการที่รองเท้ากว้างหรือแคบไปจะทำให้เกิดการได้รับบาดเจ็บและเท้าพิการส่วนประกอบของรองเท้ามีดังนี้


- ส่วนที่หุ้มนิ้วเท้า (toe box) ซึ่งอาจจะมีรูปร่างกลมหรืออกเหลี่ยม เมื่อใส่รองเท้าแล้วจะต้องมีพื้นที่ให้นิ้วเท้าขยับ

- ส่วนบนบริเวณที่เป็นรูรองเท้าใช้เชือกผูกเรียกว่า vamp ควรจะทำจากผ้าหรือหนังหากแข็งเกินไปจะทำให้เกิดตาปลา ควรใส่รองเท้าที่ใช้เชือกผูก
-ส่วนพื้นรองเท้า SOLE ซึ่งประกอบด้วยพื้นด้านที่เท้าเราสัมผัสเรียกว่า Insole ส่วนพื้นรองเท้าเราเรียกว่า Outsole สำหรับแผ่นที่รองรับแรงกระแทกอยู่ระหว่างกลางเรียก Midsole และส่วนที่สัมผัสกับพื้น พื้นรองเท้าที่ดีควรจะนุ่มเพื่อกันการกระแทกและพื้นรองเท้าไม่ควรหนาเกินไป

-ส่วนส้นเท้า HEEL เป็นส่วนที่สำคัญเพราะเป็นส่วนรับน้ำหนักเวลาเราเดิน ควรจะเลือกส้นเท้าที่กว้างและนุ่มส้นรองเท้าไม่ควรเกิน 2 นิ้วส้นยิ่งสูงจะทำให้เจ็บฝ่าเท้าได้มากขึ้น
-ส่วนพื้นบริเวณส้นเท้า Heel Couter เป็นส่วนที่อยู่บริเวณส้นเท้าเพื่อให้เวลาเดินเท้ามีความมั่นคงไม่ล้ม ควรบุด้วยวัสดุที่นุ่ม

-Heel tab คือส่วนของรองเท้าที่ล้อมรอบเอ็นร้อยหวาย ควรจะบุด้วยวัสดุที่นุ่ม
-ส่วนที่บุในรองเท้าควรจะทำด้วยวัสดุที่นุ่มและที่สำคัญต้องไม่มีตะเข็บ
-พื้นส่วนที่เว้าเข้าของพื้นรองเท้า(ส่วนที่ทำให้เราบอกว่าเป็นเท้าข้างซ้ายหรือขวา)

รองเท้าที่ดีต้องมีลักษณะดังนี้

-รองเท้าต้องมีลักษณะเหมือนเท้าของท่าน
-รองเท้าต้องทำจากวัสดุที่นุ่มเท้าเหมือนถุงมือที่ทำจากหนัง
-รองเท้าที่ดีส้นเท้าไม่ควรสูงเกิน 1 นิ้วและหากต้องใส่ส้นสูงก็ไม่ควรเกิน 2 นิ้วและใส่ไม่เกิน 3 ชั่วโมงในแต่ละครั้งและให้ถอดออกหากไม่จำเป็นเช่นที่ทำงาน
-พื้นรองเท้าต้องนุ่มและกันกระแทกและไม่ลื่นโดยมากทำจากยางจะดีกว่าหนังสัตว์
-ไม่ซื้อรองเท้าที่มีตะเข็บบริเวณที่เจ็บเช่นบริเวณนิ้วหัวแม่เท้า
-หลีกเลี่ยงรองเท้าที่มีน้ำหนักมากโดยเฉพาะรองเท้าที่ส่วนหัวรองเท้าทำจากยางและมีขนาดใหญ่เพราะจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
-ควรใช้รองเท้าที่เป็นเชือกผูกเพราะจะใส่ได้พอดีกว่ารองเท้าที่เป็นแบบ slip-on shoes
การเลือกรองเท้าสำหรับเด็ก
เด็กไม่จำเป็นต้องสวมรองเท้าจนกระทั่งเมื่อเด็กเริ่มเดินประมาณอายุ 12-15 เดือนต้องซื้อรองเท้าที่พอดีกับเท้า โดยทั่วไปอาจจะต้องเปลี่ยนรองเท้าทุก3- 6 เดือนหากเท้าเด็กโตขึ้น หากเด็กชอบถอดรองเท้าออกบ่อยๆแสดงว่ารองเท้านั้นอาจจะใส่ไม่สบายเท้าให้ตรวจเท้าเด็กว่ามีรอยกดทับหรือรอยแดงหรือรอยถลอกหากมีแสดงว่ารองเท้าคับไป

รองเท้าสำหรับผู้หญิง
รองเท้าที่ดีควรจะส้นเตี้ยและปลายเท้ากว้างแต่สำหรับคุณผู้หญิงมักจะเลือกรองเท้าส้นสูงปลายเท้าแคบซึ่งทำให้เกิดอาการปวดเท้า นิ้วเท้า น่องและหลัง

ภาวะที่เกิดจากการใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม
นิ้วหัวแม่เท้าผิดรูป
ตาปลา
เอ็นฝ่าเท้าอักเสบ
เล็บขบ

ดวงตา สดใส ไร้ริ้วรอย

ข้อปฏิบัติเพื่อดวงตาสวย

1.พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ

2.ดื่มน้ำสะอาดมากๆ จะทำให้ดวงตาชุ่มชื่น

3.หลีกเลี่ยงการโดนลมแรง และแสงแดดเจิดจ้า เพราะเป็นสาเหตุให้ตาแห้ง

4.เลี่ยงการถูกกระทบกระแทกรอบดวงตา

5.ไม่ใช้สายตากับบางสิ่งต่อเนื่องนานเกินไปเป็นประจำ

6.เลิกพฤติกรรมการนอนคว่ำ เอาหน้าถูหมอน

7.รักษาความสะอาดบนใบหน้าและผิวรอบดวงตาให้สะอาดหมดจด

8.ไม่เอามือสกปรกขยี้ตา

9.เลือกเครื่องสำอางสำหรับแต่งรอบดวงตาที่มั่นใจว่าปลอดภัยแน่นอน เพราะถ้าเกิดแพ้ขึ้นมา นอกจากจะทำให้ดวงตาอักเสบ มีน้ำตาไหลไม่หยุดแล้ว อาจทำให้ผิวรอบดวงตาเกิดแพ้ เป็นเม็ดอักเสบ หรือสีผิวเปลี่ยนแปลงได้

10.ไม่จำเป็นต้องสรรหาสารพัดครีมบำรุงมากมาย เพราะผิวบริเวณนั้นมีความอ่อนบางมากกว่าส่วนอื่น ๆ ของใบหน้า และมีโอกาสที่สารต่าง ๆ จะหลุดลอดเข้าสู่ดวงตาจนเป็นอันตรายได้ถ้าทำได้ตามวิธีเหล่านี้ รับรองว่าดวงตาของคุณจะสวยใสเกินหน้าใครต่อใครแน่นอน

ทำอย่างไรให้ดูสวย


คุณผู้หญิงหลาย ๆ ท่าน คงจะเคยประสบปัญหาเซ็ตผม จัดทรง ยังไงก็ดูไม่ได้รูป ไม่สวยอย่างตั้งใจใช่ไหมคะ บางทีตื่นขึ้นมาผมก็ชี้ ทั้ง ๆ ที่จะมีนัดแต่เช้าตรู่ หรือไม่ก็ฟูน่าเกลียด บางคนไม่มีเวลาสระ ผมก็ลีบแบนจะแวะร้านทำผมก็เห็นจะไม่ทัน จะสระเองก็ไม่มีเวลาพอมานั่งไดร์ เฮ้อ.. กลุ้มในเสียจริงแล้วแบบนี้ต้องพกพาความไม่มั่นใจออกไปนอกบ้านด้วยเหรอ…ไม่ต้องหรอกค่ะ คุณสาว ๆ หากคุณรู้เทคนิคในการจัดการทรงผมที่มีปัญหาแต่ละอย่าง มาดูกันเลยค่ะ

- ปัญหาจัดทรงยาก ดูแห้ง ฟูกระจาย ไร้น้ำหนัก หรือผมหยิกฟูไม่ขอดสวย ให้หวีรวบขึ้นแล้วมัดหางม้าเก๋ ๆ เพราะมันง่ายที่สุด เร็วที่สุด แล้วลองขยับดูว่า จะรวบม้าสูง หรือม้าต่ำ แบบไหนจะสวยที่สุด แล้วอาจจะใช้ที่คาดผมช่วยด้วยก็ได้ แต่ควรจะเลือกสีพื้น ๆ อย่างสีดำ หรือสีน้ำตาลนะคะ

- ปัญหาปลายผมแห้ง แตก หรือหยิกชี้ เป็นฝอย เวลามัดหางม้า ก็ให้สอดปลายผมลอดยางรัดย้อนกลับเป็นมวย แล้วฉีดสเปยร์เนื้อเบา ๆ บาง ๆ เพื่อให้ผมอยู่ตัว เก็บผมที่ฟูให้ดูเรียบสวย

- ปัญหาผมลีบลู่ ขาดความพริ้ว ดูไม่มีชีวิตชีวา แต่ก็ไม่มีเวลาจะมาสระและไดร์ใหม่ ให้ฉีดสเปรย์บาง ๆ ที่รากผม แล้วไดร์ จ่อลมไดร์เน้นเป่าโคนผมเป็นพิเศษ ผมที่ลีบจะดูหนาขึ้น แต่ต้องระวังไม่ให้สเปรย์ที่ฉีดมากเกินไป เพราะผมจะยิ่งลีบไปกันใหญ่

- หาหมวกเก๋ ๆ สวม หรือหาผ้าแปลก ๆ โพก ในลักษระแฟชั่นอยากเก๋รายวัน ทำตัวเก๋ ดีกว่าจะปล่อยให้ผมกระเซิงออกมาอวดสายตาชาวบ้าน

- ลองทาลิปสติกสีสดใส และยิ้มแย้มแจ่มใส่เสมอ เพื่อดึงสายตาคนมองให้ไปอยู่ที่รอยยิ้มของคุณแทนเห็นไหมคะ แค่นี้นานาปัญหาเส้นผมของคุณ ก็ไม่ใช้เรื่องใหญ่อีกต่อไป

นิสัยที่ว่าไม่ดีต่อความงาม


คุณผู้หญิงทั้งหลายทราบหรือไม่คะ ศัตรูตัวฉกาดของความงาม จริง ๆแล้ว มัก็คือนิสัยเสีย ๆ บางอย่างของคุณสาว ๆ นั้นเองแหละ มาดูกันเลยดีกว่า ว่านิสัยที่ว่าไม่ดีต่อความงามนั้น มีอะไรบ้าง แล้วคุณมีนิสัยแบบนี้อยู่สักกี่ข้อ

- ชอบขมวดคิ้วและชักสีหน้า : ก็นี่น่ะ เป็นสาเหตุสำคัญของรอยเหี่ยวย่นเลยนะ ถ้าตอนยังเป็นวัยรุ่นทำน่ะ คงไม่รู้สึกเท่าไหร่ แต่ถ้าตอนนี้คุณถึงวัยปลายยี่สิบ หรือย่างเข้าเลยสามแล้วล่ะก็ ลองไปยืนชักสีหน้า หรือขมวดคิ้วหน้ากระจกดูสิ แล้วจะตกใจ

- เลียปาก :นอกจากจะเป็นบุคคลิกที่ดูจะไม่ค่อยงามแล้ว มันยังทำให้ปากเราแห้งด้วย เพราะหลังจากน้ำลายแห้งแล้ว มันจะดูดความชื้นจากริมฝีปาก ลิปมันที่ทาเพื่อปกป้องความชุ่มชื้นและแสงแดด ก็จะหมดไปแล้วน้ำลายยังไปสร้างสารบางอย่างที่ช่วยดุดแสดงแดดเข้าไปมากขึ้นอีกล่ะค่ะ

- ขยี้ตา : ก็ผิวรอบดวงตาน่ะบอบบางมาก การขยี้ตบ่อย ๆ จะทำให้ริ้วรอยก่อตัวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว

- ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์บำรุงผิวหน้าขวดเดียว :ก็ขวดเดียวมันจะไปพออะไรล่ะคะ ยิ่งถ้าวัน ๆ ต้องเจอมลพิษนานารูปแบบอีกทั้งกลางวันกลางคืน ก็มีความแตกต่างกัน อย่างน้อยครีมสำหรับกลางวันและกลางคืนก็ไม่ควรจะใช้ขวดเดียวกันแล้วล่ะค่ะ

- กัดเล็บ และปล่อยมือแห้ง : การกัดเล็บเนี่ย นอกจากจะบ่งบอกบุคคลิกภาพที่ไม่มีความมั่นใจแล้ว ยังสกปรก และทำให้เล็บอ่อนแอด้วย เล็บก็จะกุด ๆ ไม่สวย ซึ่งเราไม่ควรมองข้ามเลยนะคะ มือน่ะ เป็นสิ่งที่สังเกตเห็นกันได้ง่าย แล้ในแต่ละวันน่ะเราก็โชว์มือบ่อยซะด้วย และใครที่มัวแต่ใช้ครีมบำรุงผิวหน้าจนลืมผิวมือน่ะ ก็ช่วยให้เวลากับมือสักหน่อยนะคะ เพราะถ้าหน้าเด้งแต่มือเหี่ยวน่ะ มันก็ดูเหมือนแต่งตัวไม่เสร็จน่ะแหละ

- แปรงผมตอนที่ผมเปียก :ถือว่าเป็นการทำร้ายผมอย่างรุนแรงเลยเชียวหละ ใครที่ชอบทำแบบนี้ ขอให้เข้าใจเสียใหม่ว่า ผมแห้งน่ะเปราะบางกว่าผมเปียกตั้ง 30% เลยนะ

- ห่อไหล่ : การห่อไหล่ด้วยการนั่งทำงานอยู่กับโต๊ะทั้งวี่ทั้งวัน กล้ามเนื้อไหล่และคอจะเกร็งและตึงเครียด ซึ่งอาจจะด่อให้เกิดปัญหาสุขภาพเรื้อรังตามมาก็ได้นะ

- บีบสิว : สาว ๆ หลาย ๆ คนเห็นเป็นทนไม่ได้ มันกวนใจจริง ๆ ใครต่อใครก็บ๊อกบอกกันมา อย่าบีบนะ แต่มือมันก็ช่างไม่ฟังเอาเสียเลย ใครมีปัญหานี้ ต้องตระหนักถึงข้อเท็จจริงก่อนว่า ถ้าคุณไปบีบมัน อายุของมันจะยืดยาวอยู่บนหน้าของคุณนานยิ่งขึ้นไปอีก และอาจจะทำให้เป็นแผลเป็นเลยก็ได้ ทางที่ดีเราต้องยับยั้งชั่งใจดีกว่านะ

- เกาแผลยุงกัด : ยุ่งกัด ก็มันคัน ยิ่งเกาก็ยิ่งมัน ยิ่งคันเข้าไปใหญ่ เกาไปเกามาเลือดซิบและบางทีก็ติดเป็นแผลเป็นไปตลอดชีวิตเลย คิดดูเถอะว่า ถ้าบนตัวคุณมีแต่ลายแผลเกายุงกัดน่ะ มันจะเยินขยาดไหน

เมนูอาหาร เพื่อผิวผ่อง


อาหารที่ดีกับผิวพรรณ

เนื้อปลา

เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชราและความเสื่อมของร่างกาย

น้ำมันมะกอก

น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูงก็จริง แต่มีข้อดีคือมีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง และเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอ และอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวดูอ่อนวัยคงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม

เมล็ดข้าวและธัญพืช

ไม่ว่าจะเป็นข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ก ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ งา นอกจากจะมีวิตามินบีสูงแล้ว ยังมีวิตามินอี ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ซึ่งจะช่วยสร้างและรักษาความแข็งแรงของเซลล์ มีงานวิจัยระบุว่าวิตามินอี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และช่วยปกป้องความเสียหายที่เกิดจากมลภาวะให้แก่ผิว

ผลไม้และผักสด

ผักสด มีวิตามินเอ ช่วยทำให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ และยังมีวิตามินซีซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเส้นใย คอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ผิวพรรณของใบหน้าดูเต่งตึง มีความยืดหยุ่น ผักสดและผลไม้ จึงควรเป็นอาหารที่คุณควรบรรจุไว้ในเมนู อาหารทุกมื้อของคุณ ผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก ได้แก่ ส้ม มะนาว มะเขือเทศสับปะรด ฝรั่ง ส่วนผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอมาก ได้แก่ กล้วย มะละกอ ฟักทอง แครอท

น้ำเปล่า

น้ำทำหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับทุกระบบภายในร่างกาย และหากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ6-8 แก้วโต ๆ เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง แบบไม่ต้องลงทุนมาก เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และยังป้องกันผิวหย่อนยานจากการลดน้ำหนักอย่างอวบฮาบอีกด้วย

ตัวอย่างเมนูอาหารเพื่อผิวผ่อง

มื้อเช้า: สลัดผลไม้ราดด้วยโยเกิร์ตหรือสลัดผักสดกับน้ำสลัดใส
มื้อเที่ยง: ปลาจาระเม็ดนึ่ง แกงเลียง ข้าวกล้อง
มื้อว่าง: นมถั่วเหลือง หรือน้ำผลไม้คั้นสด ๆ
มื้อเย็น: ลาบเห็ด ซุบเต้าหู้ ข้าวกล้อง

ผมสวยด้วยพืชและผัก


ผมสวย นอกจากจะช่วยให้ใบหน้าของคุณดูดีขึ้นแล้ว เส้นผมนิ่มสลวย ยังบ่งบอกถึงสุขภาพที่ดีอีกด้วย แต่ถ้าคุณกำลังกลุ้มใจกับปัญหาผมเสีย เรามีวิธีแก้ด้วยพืชผักมาบอกกันค่ะ

มะกรูด

นำมะกรูดคั้นเอาน้ำ 1-2 ช้อนชา ชะโลมนวดให้ทั่วศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด แค่นี้ผมของคุณก็จะดูสวยมีชีวิตชีวากับเขาบ้างแล้วล่ะค่ะ

ชะอม

ถ้าผมของคุณขาดชีวิตชีวา เจอลมแรงยังแทบไม่กระดิก แล้วล่ะก็ แนะนำว่าให้ใช้สูตรชะอม โดยใช้ใบชะอมประมาณ 1 กำมือนำมาต้มกับน้ำสะอาด 3 ถ้วยจนเดือด กรองเอาแต่น้ำเขียวๆ นำไปวางไว้ให้เย็น หลังจากสระผมสะอาดแล้ว นำผ้าขนหนูชุบน้ำชะอมพอหมาดๆ เช็ดถูให้ทั่วศีรษะ จะช่วยคืนสภาพเส้นผมให้ดีขึ้นได้ และยังช่วยไม่ให้ผมแตกปลายอีกด้วย แต่ก็คงต้องทนกลิ่นเหม็นเขียวของชะอมสักหน่อยนะคะ

กล้วย

นำกล้วยน้ำว้าสุกมาบด หยดน้ำมันอัลมอนด์ลงไปเล็กน้อย ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมานวดลงบนเส้นผมให้ทั่วศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณ ,15 นาที เพื่อให้ส่วนผสม ค่อยๆซึมเข้าไป แล้วจึงล้างออกให้สะอาด ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผมแห้งกรอบ ขาดชีวิตชีวา ก็จะฟื้นคืนชีพได้

ตะไคร้

ตะไคร้ที่เราใส่ในต้มยำ นี่แหละค่ะ ใช้แก้ปัญหาผมแตกปลายได้ผลดีทีเดียวให้ใช้ตะไคร้ 2-3 ต้น นำมาโขลกให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำ หลังจากสระผมสะอาดดีแล้วนำน้ำตะไคร้มาชะโลมและนวดให้ทั่วศีรษะทิ้งไว้สัก 10 นาที จึงล้างออก ทำกันเป็นประจำสัก 2 เดือน รับรองได้ว่า ปัญหาผมแตกปลาย จะไม่ใช่เรื่องกวนใจคุณอีกต่อไปค่ะ

น้ำมันมะกอก

ใช้น้ำมันมะกอกผสมกับน้ำมันหอมโรสแมรี่ นำมานวดให้ทั่ว หมักผมค้างไว้ 1 คืน แล้วค่อยสระผมในตอนเช้า จะช่วยขจัดรังแคได้ค่ะ วีทเจิร์มสูตรคอนดิชั้นเนอรฺชนิดเข้มข้น นำวีทเจอร์ม มาผสมกับน้ำมันมะกอก แล้วนวดให้ทั่วศีรษะ ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น บิดให้แห้ง นำมาคลุมผมไว้ ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วจึงล้างออก